ปีที่แล้วนักลงทุนทุกคนกังวลตลาดหุ้นร่วงและคาดหวังว่าปีนี้จะกลับมาดีขึ้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังคงปรับตัวลดลงต่อ
โดยย้อนไปเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2567 SET Index ปิดที่ 1,400.21 จุด ทำให้ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 7.6% ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2567 SET Index ปรับลดลงเพียง 1.1%
ขณะที่ล่าสุดปิดตลาดวันนี้ 7 กุมภาพันธ์ 2568 SET Index อยู่ที่ระดับ 1,282.09 จุด หรือปรับตัวลดลงมาจากสิ้นปี 2567 ถึง -8.4% จากดัชนีที่ปรับตัวขึ้นลงทุกวันทำให้หลายคนเริ่มคาดการณ์ไม่ถูกเลยว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นกลับมาได้ไหมหรือจะปรับตัวลงต่อ
[ 10 ปีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน? ]
หากหันหลังกลับไปมองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่าดัชนียังไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้เลยตั้งแต่ปี 2561 ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ดัชนีเคยวิ่งขึ้นไปถึงคือ 1,802.80 จุด ทำลายสถิติก่อนหน้าที่ 1,789.16 จุด ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2537 ซึ่งใช้เวลานานถึง 24 ปีในการทำจุดสูงสุดครั้งใหม่นี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผัวผวนปรับตัวลดลงทุกวันๆ และดูเหมือนจะซบเซาลงเรื่อยๆ จนบางคนก็พูดว่า ตลาดหุ้นไทยนั้นไร้สเน่ห์ไปแล้ว เพราะความน่าดึงดูดและความน่าสนใจนั้นหายไปเกือบหมด
อีกทั้งยังต้องเจอกับปัญหาจากภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แน่นอนว่าหลายๆ ประเทศก็คงเจอปัญหาคล้ายๆ กันแต่ด้วยความที่ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเปราะบางและไม่ได้จุดที่แข็งแกร่งมากพอเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้เราปรับตัวลดลงเยอะกว่าและฟื้นตัวได้ช้ากว่า
หนึ่งปัจจัยสำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้กระทบแค่ตลาดหุ้นไทย แต่กระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก นั่นก็คือ ‘โควิด 19’ ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกือบ 40% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน
โดยในปีนั้น 2563 หุ้นไทยร่วงลงต่ำสุดสู่ระดับ 969 จุด ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี หรือนับตั้งแต่ฟื้นตัวจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่ดัชนีเคยตกลงไปต่ำกว่าระดับ 1,000 จุด
แม้ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี 2563 โดยปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,600 จุดอีกครั้ง แต่ก็ชะลอตัวลงต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน
นอกจากนี้ ภาพรวมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาดัชนี SET Index มีแนวโน้มปรับตัวลงมากกว่าขึ้น โดยมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูง แต่รวมๆ แล้วก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้าง ‘ทรงตัว’ โดยดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ 1,300-1,800 จุด ซึ่งก็ยังแตกต่างจากตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ ที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน
[ คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยปี’68 ]
สำหรับปี 2568 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ มองว่าตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน โดยเฉพาะนโยบายของ ‘โดนัล ทรัมป์‘ ที่ต้องการหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว
ทำให้วัฎจักรดอกเบี้ยโลกขาลงอาจจบรอบเร็วกว่าคาด จากการประเมินของบล.ทิสโก้ หากทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีตามที่หาเสียงไว้ อาจส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นได้ถึง 1.2%
นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ มองประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตราว 3% มีความเสี่ยงจากประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยความท้าทายที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
จากการประเมินเบื้องต้นอาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยราว 0.3-1.1% ขึ้นอยู่กับว่าระดับความรุนแรงของสงครามการค้าจากสหรัฐฯ
ส่วน บล.เอเซีย พลัส มองเป้าดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2568
น่าจะที่ 1,520 จุด โดยกรอบล่างอยู่ที่ 1,270-1,320 จุด โดยมองว่าน่าจะไม่มีสถานการณ์ที่แย่ไปกว่านี้แล้ว หลังสงครามการค้าที่เริ่มแล้ว
ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง จากนี้เชื่อว่าตลาดหุ้นจะค่อยๆ ปรับขึ้น เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องชอร์ตเซล ทั้งนี้หุ้นที่ลงแรงมองโอกาสสำหรับนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ทยอยซื้อสะสมเพื่อลงทุนในระยะกลางถึงยาว
ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย เคยให้มุมมองในส่วนของปี 2568 ตลาดหุ้นน่าจะมีอัพไซด์ไม่มากนัก คาดอยู่ที่ระดับ 1,500-1,550 จุด ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) คาดโต 5-7% หรือกำไรต่อหุ้นที่ 95 บาท และคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง
หุ้นที่แนะนำเน้นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง (Dividend Yield) เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เพิ่งผ่านมาแค่ 1 เดือนแรกของปี 2568 เท่านั้น ยังมีเวลาอีก 11 เดือนที่ตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นกลับมาได้ นักลงทุนอย่างเราๆ คงต้องรอดูและมาลุ้นกันต่อในช่วงที่เหลือกัน
.










