หุ้นไทยรอฟื้น หวังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจีนกลับมา

หุ้นไทยรอฟื้น หวังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ นักท่องเที่ยวจีนกลับมา

การเงิน

ภายใต้งานสัมมนา INVESTMENT FORUM 2024 ที่จัดขึ้นโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ ได้ฉายมุมมองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ถึงโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน

โดย ‘ภากร ปีตธวัชชัย’ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ในปี 2566 ที่ดูไม่ค่อยดีนั้นเป็นไปตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่

รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวยังเข้ามาน้อย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในปี 66 มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 28 ล้านคน ส่วนในปี 67 คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาไทยเพิ่มเป็น 34.5 ล้านคน

ทั้งนี้ แม้ภาพรวมตลาดปี 66 อาจดูไม่ดีนักและปิดสิ้นปีดัชนีจะปรับตัวลดลง -15.2% เมื่อเทียบสิ้นปี 65 แต่หากมองกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ก็ยังพบว่าหลายบริษัทมีกำไรที่ดี เนื่องจากบจ.ไทยประมาณ 36% มีรายได้หลักมาจากต่างประเทศ

และที่สำคัญในหลายๆ เซ็นเตอร์ก็ยังมีการเติบโตขึ้น สะท้อนว่าตลาดหุ้นปรับลงแต่ไม่ใช่ทุกอุตสาหกรรมที่ปรับลดลง เหตุผลมาจากเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวในลักษณะ K-Shape ทำให้ธุรกิจฟื้นตัวได้ไม่เท่ากัน

ขณะที่ในปี 67 มี 3 ประเด็นที่อาจจะเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ได้แก่

1.เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวในลักษณะ K-Shape ทำให้การลงทุนจำเป็นต้องเลือกเซ็กเตอร์ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้

2.ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่สูงและน่าจะเริ่มปรับลดลงในปีนี้

3.ภาวะสงครามที่ยังยืดเยื้อในหลายประเทศ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน สงครามการค้าจีน-สหรัฐ ยังคงต้องจำตามองอย่างใกล้ชิด

4.เรื่องของเทรนด์ ESG ที่จะมีบทบาทต่อการตัดสินใจลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งบริษัทในไทยหลายตัวก็สามารถดำเนินการได้ดี

ด้าน ‘พจน์ หะริณสุต’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. วรรณ มองตลาดหุ้นไทยปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว โดยประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 67 จากมุมมองปัจจุบัน ให้แนวรับแรกอยู่ที่บริเวณ 1,346 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,580 จุด ซึ่งมีการปรับลดลงมาจากเดิมที่ 1,600 จุด เนื่องจากมีการปรับลดลงของภาพรวมกำไรต่อหุ้น (EPS) จากเดิม 102 เหลือ 97

สำหรับปัจจัยบวกตลาดหุ้นไทยมาจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และน่าจะมีการปรับลดลงในปีนี้ โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง 3-4 ครั้ง

ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประมาณ 1-2 ครั้งและคาดว่าอาจจะมีการปรับในช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 โดยอาจจะปรับลงมาเหลือ 2.25% จากปัจจุบัน 2.50% ซึ่งก็จะกลายเป็นจุดที่ทำให้ตลาดหุ้นน่าสนใจอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังจากรัฐบาลในการที่จักระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเข้ามามากขึ้นในปีนี้

ขณะที่ปัจจัยความเสี่ยงเน้นไปที่เรื่องของสงครามซึ่งจะส่งอาจจะผลกระทบหลายด้าน รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและเศรษฐกิจไทย ซึ่งสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ดังนั้น ปีนี้ท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยขาลง แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบ่งเป็นสัดส่วนหุ้น 50% โดยควรมีหุ้นไทย 10% หุ้นเทคโนโลยี 20% และกระจายสัดส่วนที่เหลือในตลาดหุ้นเอเชีย

นอกจากนี้ แนะนำแบ่ง 1 ใน 3 ของพอร์ตลงทุนในตราสารหนี้ โดยแนะนำตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade ที่มีเรตติ้ง A- ขึ้นไป และส่วนที่เหลือแนะนำทั้งสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์

ซึ่งหลายกองราคาปรับตัวลงมาถึง 30% ขณะที่ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดมาแล้วก็เป็นจังหวะเข้าลงทุน โอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งเอื้อผลดีต่อหุ้นเติบโตขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี บลจ.วรรณ ได้เปิดเสนอขาย (IPO) กองทุนเปิด วรรณ โกลบอล ออพพอร์ทูนิตี้ ทริกเกอร์ 1 (ONE-GO1) ประมาณการผลตอบแทน 5% ภายใน 6 เดือน เสนอขาย 19-29 ม.ค.นี้

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง