รถไฟใต้ดินนิวยอร์ก เปลี่ยนป้ายยังไงให้คุ้มค่า

รถไฟใต้ดินนิวยอร์ก เปลี่ยนป้ายยังไงให้คุ้มค่า

หน้าที่ของ ‘ป้าย’ คือเป็นตัวแทนในการสื่อสารสิ่งต่างๆ ป้ายที่ดี จึงเป็นป้ายที่สื่อสารกับคนได้อย่างตรงจุด ชัดเจน และไม่ซับซ้อน แต่นิวยอร์กกลับทำได้มากกว่านั้น เพราะป้ายบอกทางรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก ยังแสดงถึงกลิ่นอายความเป็นมหานครของสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี

เชื่อว่าหลายคน พอได้ยินชื่อ ‘รถไฟใต้ดินนิวยอร์ก’ ก็น่าจะเห็นภาพความโยงใยของเส้นทางรถไฟที่พุ่งออกจากจุดศูนย์กลาง และกระจายไปรอบๆ เมือง จากเส้นทางเดินรถที่มากถึง 36 สาย ครอบคลุมกว่า 472 สถานีทั่วเมือง ตัวเลขนี้ แม้แต่คนที่ไม่เคยไปเยือนนิวยอร์ก ก็น่าจะพอมองเห็นภาพได้ว่าทำไม ‘ป้าย’ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชาวเมือง

ตลอดช่วงเวลาราวๆ 1 ศตวรรษ ตั้งแต่เกิดรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกในกรุงนิวยอร์กเมืองปี 1904 สไตล์ของป้ายบอกทางของรถไฟใต้ดินก็ปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆ ตามยุคสมัย 

ขอเล่าย้อนไปก่อนว่า ในปีดังกล่าว นิวยอร์กได้เปิดตัวรถไฟใต้ดินอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งให้บริการโดย IRT (Interborough Rapid Transit) ก่อนจะตามมาด้วย BMT (Brooklyn-Manhattan Transit-1908) และ IND (Independent-1932) 

ทั้ง 3 เส้นทางนี้ให้บริการโดยบริษัทเอกชน แต่ละสายเลยต่างคนต่างวางเส้นทางเดินรถของตัวเอง รวมไปถึงป้ายบอกทางในสถานี แม้ทุกเส้นทางจะพยายามทำตามแพทเทิร์นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียทีเดียว

ในช่วงแรกๆ ทั้ง 3 เส้นทาง ใช้อักษรในป้ายคล้ายกันคือ ตัวอักษรแบบ Serifs (มีเชิงตรงขอบอักษร) ยกเว้น IND ที่มาทีหลัง เลยใช้อักษรแบบ Sans Serifs (แบบไม่มีเชิง) นอกจากนี้ทั้งหมดก็ใช้พื้นหลังเป็นกระเบื้องโมเสค แต่ต่างกันตรงที่สีและขนาด 

ถัดจากยุคกระเบื้องโมเสค ยุคต่อมาของป้ายรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก เปลี่ยนมาเป็นพื้นหลังเรียบๆ แต่เพิ่มซิกเนเจอร์ใหม่ด้วยการเคลือบป้ายด้วย Enamel Porcelain หรือที่คนทั่วไปเรียกสังกะสี นอกจากนี้ ยังมีป้ายที่ทำด้วยมืออยู่ประปรายให้เห็นตามสถานีต่างๆ 

จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจคือ 1940 สายรถไฟใต้ดินทั้งสามต้องมารวมตัวกันเพื่อความอยู่รอด เพราะเจอภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) การรวมตัวนี้ทำให้เส้นทางรถไฟขยายออกไปอีก นั่นยิ่งทำให้ป้ายบอกทางแบบใหม่ผุดขึ้นมากมาย จากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีรูปแบบป้ายทางการอยู่แล้ว ช่วงเวลานี้ยิ่งทำให้รูปแบบป้ายแตกแขนงออกไปใหญ่ สร้างความสับสนงุนงงให้กับผู้เดินทาง

เพื่อแก้ปัญหานี้ ปี 1968 นิวยอร์กได้จ้างดีไซเนอร์มือดี Massimo Vignelli และ Bob Norda เจ้าของ Unimark มาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือการเลือก Typeface (ชุดรูปแบบอักษร) ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และใช้เหมือนกันทั้งเมือง 

‘Helveltica’ Typeface ที่ถูกพูดถึงในฐานะอักษรที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือชื่อแรกที่ถูกเสนอขึ้นมา แต่สุดท้าย Helveltica ก็ไม่ได้ไปต่อ เพราะ Unimark หันไปใช้ชุดอักษรที่ชื่อ Standard Medium แทน โดยให้เหตถผลว่าเป็นชุดอักษรที่อ่านง่าย โดยเฉพาะเมื่อไปอยู่ในสถานีรถไฟที่ผู้ใช้งานควรจะกวาดตาดูครั้งเดียวแล้วเข้าใจ โดยไม่ต้องหยุดชะงัก แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีข้อสันนิษฐานว่า เหตุผลที่แท้จริงอาจจะเพราะต้นทุนของ Helveltica รวมค่าขนส่งต่างๆ อาจจะสูงเกินไปที่นิวยอร์กจะยอมจ่ายเงิน 

แต่ใช่ว่า Helveltica จะถูกฆ่าให้ตาย ทีมออกแบบพบว่า Standard Medium มีจุดอ่อนบางอย่างอยู่นั่นคือตัว ‘J’ ที่ไม่แตะตามากพอ ขณะที่ J ของ Helveltica มีส่วนโค้งที่ดูมั่นคงและชัดเจนมากกว่า ทำให้ทีมออกแบบตัดสินใจใช้ตัว J ของ  Helveltica ผสมกับตัวอักษรอื่นๆ จาก Standard Medium

ทางการนิวยอร์กใช้อักษรผสมแบบนั้นอยู่ราวๆ 20 ปี ก็ได้ฤกษ์โบกมือลา Standard Medium และเปลี่ยนมาใช้ Helveltica ทั้งแผงในปี 1989 หลังเทคโนโลยีต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ป้ายตามรถไฟใต้ดินสถานีต่างๆ ในนิวยอร์ก ก็ใช้ Helveltica เป็นชุดอักษรอย่างเป็นทางการ

อิทธิพลที่มาพร้อม Helveltica ไม่ใช่แค่ช่วยให้ผู้เดินทางอ่านป้ายประกาศต่างๆ ชัดเจนขึ้น แต่มันยังให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นนิวยอร์กอย่างชัดเจน มีการเอา Typeface Helveltica มาใช้เป็นอักษรในเสื้อแฟชั่น รวมถึงหลายๆ แบรนด์สินค้าที่มาเปิดในเมืองนี้ก็ใช้ Typeface นี้มาเขียนตกแต่งร้านเพื่อให้กลืนไปกับเมือง ภาพยนตร์บางส่วนก็ใช้ Helveltica มาบอกเล่าถึงความเป็นนิวยอร์ก

ถึงผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งมวลนี้ดูเหมือนจะเป็นผลของการร่ายมนต์ Helveltica แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงคือ หลักการคิด และการออกแบบเพื่อตอบโจทย์หน้าที่ของความเป็น ‘ป้าย’ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร ดังนั้น การตั้งชื่อที่เน้นตัวสถานที่ ลักษณะอักษร รวมถึงสีที่เลือกใช้ อย่างพื้นหลังดำ กับอักษรขาว ก็คิดขึ้นมาเพื่อให้สื่อสารกับผู้อ่านได้ง่ายดายที่สุด 

 

อ้างอิงจาก

https://archive.nytimes.com/cityroom.blogs.nytimes.com/2011/07/07/new-maps-on-subway-platforms-seek-clarity/

https://www.youtube.com/watch?v=Ayg_K_CR2tc

https://edition.cnn.com/style/article/helvetica-60-years/index.html

#กลิ่นความเจริญ
#MakeTomorrowToday

จารุวรรณWriterจารุวรรณ
วันจันทร์ที่เกิดวันอังคาร

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง