ถ้าถามคนรอบตัวที่กำลังลงทุนอยู่ว่า เราเริ่มอยากลงทุนบ้างแล้ว เน้นใส่เงินไปเรื่อย ๆ ถือยาว ควรเลือกอะไรดี
เชื่อว่าคำตอบของคนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น “S&P 500” เพราะช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างโดดเด่น แซงหน้าดัชนีตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ และหากดูข้อมูลย้อนหลัง 30 ปีจะพบว่าดัชนีนี้ให้เติบโตเฉลี่ยถึง 10% ต่อปีด้วย
เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ หากลงทุน 10,000 บาทตั้งแต่แรก ปัจจุบันเราจะมีเงินถึง 170,000 บาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 16 เท่าเลยทีเดียว
ด้วยผลตอบแทนที่น่าสนใจแบบนี้ ทำให้ดึงดูดคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่สิ้นหวังกับตลาดหุ้นไทยแล้ว
แต่คำถามที่น่าคิดต่อคือ การลงทุน S&P 500 จะไม่มีวันขาดทุน เหมือนที่คนอื่นบอกจริงหรือไม่ TODAYBizview จะพาทุกคนไปหาคำตอบ
ก่อนอื่นควรรู้จักว่า S&P 500 คืออะไร ?
S&P 500 คือดัชนีตัวแทนของบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ประมาณ 500 บริษัท ซึ่งหลายบริษัทหลายคนต้องคุ้นชื่อกันอย่างแน่นอน เพราะสินค้าและบริการของบริษัทเหล่านั้นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา
ไม่ว่าจะเป็น NVIDIA ผู้ออกแบบชิปที่จำเป็นต่อการประมวลของ AI, Microsoft เจ้าของ Word และ Excel, Apple แบรนด์สมาร์ตโฟนระดับโลกอย่าง iPhone, Alphabet เจ้าของ Google และ YouTube หรือ Meta Platforms เจ้าของ Facebook และ Instagram ก็ตาม
หมายความว่า ถ้าเราลงทุนในดัชนี้ ก็เสมือนเราเชื่อมั่นบริษัทสหรัฐฯ ว่าจะเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว
การที่เราลงทุนใน S&P 500 ไม่ได้เท่ากับเงินจะกลายในทุกบริษัทด้วยสัดส่วนที่เท่ากัน เช่นมือใหม่มักคิดว่าถ้าลงทุน 10,000 บาทในดัชนีนี้ เท่ากับกระจายการลงทุน 20 บาทต่อ 1 บริษัท
แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย การลงทุนจะกระจุกตัวในบริษัทที่มีมูลค่าสูง เพราะ S&P 500 เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด พูดแบบเข้าใจง่าย ๆ บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูง จะมีสัดส่วนในดัชนีที่มากกว่า บริษัทที่มีมูลค่าตลาดต่ำ
โดยปัจจุบัน 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คิดเป็น 39% ของ S&P 500
ดังนั้นจะสรุปว่า S&P 500 บวกหรือลบ 10 บริษัทยักษ์ใหญ่เป็นตัวหลักที่ส่งผลก็คงได้
ทีนี้มาหาคำตอบของคำถามสำคัญอย่างการลงทุน S&P 500 จะไม่มีวันขาดทุนจริงหรือไม่
ถ้าดูจากข้อมูลย้อนหลังจะพบว่า มีบางปีที่ S&P 500 ติดลบไม่ต่างจากตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ เหมือนกัน เช่น
-
-
-
- ปี 2565 ผลตอบแทน = -18.11%
- ปี 2561 ผลตอบแทน = -4.38%
- ปี 2551 ผลตอบแทน = -37.00%
- ปี 2545 ผลตอบแทน = -22.10%
-
-
นั่นแสดงให้เห็นว่า การลงทุน S&P 500 ก็สามารถขาดทุนได้ เพียงแต่หากถือระยะยาวจะได้ผลตอบแทนที่ดี เพราะดัชนีทำจุดสูงสุดต่อเนื่องนั่นเอง
พออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนน่าจะสนใจ S&P 500 มากยิ่งขึ้น แต่ก็อีกใจหนึ่งอาจจะกลัวว่า ตัวเองกำลังลงทุนในจุดที่สูงหรือราคาแพงเกินไปแล้ว
ก็ต้องบอกว่า มีหนึ่งวิธีการลงทุนที่สามารถลดปัญหานี้ได้ ไม่ต้องจับจังหวะตลาดเลย และใคร ๆ ก็ทำตามได้ นั่นคือการ DCA หรือการทยอยลงทุนในสินทรัพย์ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมทุกเดือน
ตัวอย่างเช่น เราลงทุนใน SPY กองทุน ETF ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนี S&P 500 เดือนละ 2,000 บาท ไปตลอด
ผลลัพธ์คือ หากมีเดือนไหนที่ราคา SPY ลดลง เราจะได้เข้าซื้อด้วยต้นทุนที่ถูก กลับกันหากเดือนไหนราคาสูง ต้นทุนก็จะสูงตาม เกิดการถัวเฉลี่ยของต้นทุน ซึ่งในระยะยาวหากดัชนีเติบโตเรื่อย ๆ เหมือนกับที่ช่วงที่ผ่านมา เราก็จะได้ผลตอบแทนที่บวกในท้ายที่สุดนี่เอง
ปิดท้ายด้วยข้อสังเกต แม้ว่า S&P 500 จะเป็นตัวแทนของบริษัทสหรัฐฯ แต่รายได้ของบริษัทเหล่านั้นไม่ได้มีแค่มาจากภายในประเทศเท่านั้น เช่น Netflix ที่มีคนดูทั่วโลก หรือ Coca-Cola ที่มีคนดื่มน้ำอัดลมแบรนด์นี้อยู่ทุกที่
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้แค่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นตัวชี้วัดว่า S&P 500 น่าลงทุนหรือไม่ ได้อีกต่อไป ในวันที่บริษัทสหรัฐฯ มีรายได้จากทั่วโลกแล้ว
ที่มา :
-
-
-
-
- https://tradethatswing.com/average-historical-stock-market-returns-for-sp-500-5-year-up-to-150-year-averages
- https://www.ssga.com/us/en/intermediary/etfs/spdr-sp-500-etf-trust-spy
- https://www.slickcharts.com/sp500/returns
- https://www.kasikornbank.com/th/kwealth/Pages/a601-t4-hyb-usa-stock-index-101-with-investment-opportunity-in-trump2-kgth.aspx
- https://www.setinvestnow.com/th/beginner/growing-portfolio-dca
-
-
-










