ข่าวดีของเรา แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับธุรกิจในกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังจากเมื่อวานนี้ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยหาเสียงที่เชียงรายและพูดถึงการลดค่าไฟในปีนี้ให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันที่แพงมากกว่า 4 บาทต่อหน่วย
ที่สำคัญประเด็นนี้ทางด้าน ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ก็ได้พิจารณาแล้วและเตรียมจะเรียกทุกคน รวมถึงภาคเอกชนประชุมกันอีกครั้ง
พอเจอข่าวแบบนี้เข้าไปหุ้น ‘กลุ่มโรงไฟฟ้า’ ก็พากันกอดคอร่วงระนาวตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาจนปิดตลาดช่วงเย็น นำโดย
– หุ้น GPSC ร่วง -8.05% ราคาอยู่ที่ 34.25 บาท
– หุ้น BGRIM ร่วง -7.89% ราคาอยู่ที่ 17.50 บาท
– หุ้น WHAUP ร่วง -5.17% ราคาอยู่ที่ 4.40 บาท
– หุ้น GUNKUN ร่วง -2.75% ราคาอยู่ที่ 2.12 บาท
– หุ้น GULF ร่วง -2.17% ราคาอยู่ที่ 56.25 บาท
– หุ้น RATCH ร่วง -1.71% ราคาอยู่ที่ 28.75 บาท
– หุ้น BPP ร่วง 1.94% ราคาอยู่ที่ 10.10 บาท
– หุ้น EGCO ร่วง 1.74% ราคาอยู่ที่ 113.00 บาท

ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปิดตลาดวันนี้ที่ 1,372.65 จุด ลดลง -12.11 จุด หรือ 0.87% มูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 37,212.83 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 650 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำหรับประเด็นการลดค่าไฟฟ้า ความจริงแล้วก็ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ที่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประกาศลดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 2568
จากค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2567) ซึ่งอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย ลงอีก 3 สตางค์/หน่วย หรือค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 4.15 บาท/หน่วย โดยจะมีผลตั้งแต่เดือน ม.ค-เม.ย. 2568
ซึ่งในปีนี้คาดว่าจากการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี มีความเป็นไปได้ที่ค่าไฟฟ้าจะถูกลงอีกซึ่งส่งผลดีต่อคนทั่วไป และจะช่วยลดค่าครองชีพลงได้มาก ถือว่าเป็นข่าวดีรับปีใหม่เลย
ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวลง จังหวะนี้ก็เป็นโอกาสให้นักลงทุนซื้อเก็บเพื่อสะสมรอจังหวะปรับตัวขึ้นใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่
1) การปรับขึ้น-ลง ของค่า Ft และค่าไฟฟ้า ถ้าหากมีการปรับขึ้นค่า Ft จะส่งผลให้ราคาหุ้นโรงไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
2) ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติเมื่อต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติเริ่มปรับตัวลดลง ก็จะเป็นปัจจัยบวกให้กับหุ้นโรงไฟฟ้า
3) การเดินเครื่องโรงไฟฟ้าใหม่หากมีรายได้เพิ่มเข้ามา ก็จะเป็นปัจจัยบวกให้กับหุ้นโรงไฟฟ้า
4) ปัจจัยตามฤดูกาลเมื่อถึงฤดูร้อน ก็จะมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
5) การปรับขึ้น-ลงของ Bond Yield หาก Bond Yield เป็นขาขึ้น ต้นทุนของโรงไฟฟ้าก็จะเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อ Valuation ของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าก็จะปรับลดลง
นอกจากนี้ นโยบายภาครัฐและธุรกิจเมกะเทรนด์ในอนาคตก็เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะชีวิตประจำวันจะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งพลังงานสะอาด ทั้งยานยนต์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่นโยบายต่างๆ ของภาครัฐก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องคอยติดตาม










