“หัวใจเราเหมือนกัน แค่ร่างกายต่างไป” คุยกับ ทนายเคน-ศุภวิชญ์ กับฝันบนเส้นทางสายยุติธรรม

“หัวใจเราเหมือนกัน แค่ร่างกายต่างไป” คุยกับ ทนายเคน-ศุภวิชญ์ กับฝันบนเส้นทางสายยุติธรรม 

Uncategorized

“ร่างกายของผม ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย ในการปฏิบัติหน้าที่ ที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ อำนวยความยุติธรรมให้กับประเทศชาติ” คำยืนยันของ ศุภวิชญ์ จันทร์เสถียร หรือ ‘ทนายเคน’ หลังถูกตัดสิทธิ์สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา เป็นครั้งที่สอง นำมาซึ่งข้อกังขาว่า ‘ข้อจำกัดทางร่างกาย’ คืออุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางผู้พิการ ในระบบ ‘ยุติธรรม’ จริงหรือไม่

 

เส้นทางการต่อสู้ของ ทนายเคน มองผิวเผิน อาจนำไปสู่ปลายทางความฝัน ในเส้นทางอาชีพของชายคนหนึ่ง แต่คงไม่ต่างจากที่เจ้าตัวออกปากว่า “ชีวิตของผมมันเล็กมาก เมื่อเทียบกับความฝัน แต่ความฝันของผมมันก็เล็กน้อยเหมือนกัน เมื่อเทียบบรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้น”

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น รายการ HEADLINE โดยสำนักข่าว TODAY ชวนคุยกับ ทนายเคน-ศุภวิชญ์ ถึงเหตุผลที่เขายังเชื่อมั่น ในความยุติธรรม ทั้งที่อุปสรรคในเส้นทางผู้พิพากษายังไม่คลี่คลาย

[‘ผู้ช่วยเขียน’ ปมที่ไม่จบสิ้นของผู้สมัครสอบผู้พิพากษาพิการ]

ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน ทนายเคนได้สมัครสอบผู้พิพากษาครั้งแรก หลังจากตรวจสอบว่าตนได้ทำงานในฐานะทนายครบ 2 ปี ตามคุณสมบัติในการสอบผู้พิพากษา แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงและ บกพร่องในการเขียน ทนายเคนตัดสินใจที่จะยื่นคำร้องขอ ‘ผู้ช่วยเขียน’ ในสนามสอบนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายื่นคำขอนี้ เพราะก่อนหน้า ได้มีโอกาสยื่นหนังสือคำร้องขอ‘ผู้ช่วยเขียน’ ในสนามสอบสภาทนายความ ตามคำแนะนำของผู้คุมสอบในคราวนั้น สำหรับการสอบครั้งถัดๆ ไป

นอกจากนี้ ยังมีโอกาสยื่นหนังสือขอผู้ช่วยเขียนในสนามเนติบัณฑิตสำเร็จ ทำให้ทนายเคนมั่นใจว่า การสอบผู้พิพากษาที่มีมาตรฐานสูง จะมีนโยบายให้สามารถขอผู้ช่วยเขียน เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม หลังจากยื่นคำร้องผู้ช่วยเขียนในสนามสอบผู้พิพากษาครั้งแรก ทนายเคน ได้รับแจ้งให้เข้ารับการตรวจร่างกายที่กรุงเทพฯ ซึ่งผิดจากขั้นตอนปกติ ที่มักจะตรวจก็ต่อเมื่อผ่านการประเมินเท่านั้น 

ความเข้าใจแรก ทนายเคนคิดว่า นี่อาจเป็นคำสั่งและดุลยพินิจเพื่อยืนยันเรื่องการขอผู้ช่วยเขียน จากข้อจำกัดทางร่างกาย แต่การตรวจครั้งนั้น กลับทำให้เขา ‘ถูกปฏิเสธ’ การสมัครสอบผู้พิพากษารอบแรก ในรายละเอียดการตรวจครั้งนั้น ทนายเคน เล่าว่า เริ่มต้น จะต้องเข้าไปตรวจสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับจิตแพทย์ หรือกรอกแบบฟอร์มต่างๆ ซึ่งทนายเคนก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเขียน แต่อย่างใด ก่อนที่แพทย์คนต่อมา จะถามเพิ่มเติมถึงกระบวนการขอผู้ช่วยเขียน 

“ผมก็เล่าไปตามข้อเท็จจริงว่า ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของสนามสอบเนี่ย จะมานั่งกับผม ก็ไม่เคยจะรู้จักกันมาก่อนเลย พึ่งเห็นกันก่อนเข้าห้องสอบเลย แล้วผมก็อ่านคำตอบ บอกให้เขาเขียนลงไป เขาก็เขียนตามผมทุกคำ ซึ่งผมก็นั่งดูอยู่ด้วย”

หลังจากทนายเคนอธิบายจบ แพทย์คนดังกล่าวมีความเห็นว่า วิธีสอบแบบนี้เป็นการ ‘ใช้สองหัว’ ซึ่งทนายเคนตีความว่า แพทย์อาจสื่อถึงการที่ผู้ช่วยเขียนมีส่วนร่วมในการช่วยคิดด้วย

ทนายเคนยืนยันว่า การบอกคำตอบให้ผู้ช่วยเขียนไม่ใช่การ ‘ใช้สองหัว’ เพราะผู้ช่วยไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเพียงพอ และเขาเองก็ตรวจทานคำตอบว่าตรงกับสิ่งที่ต้องการเขียนทุกประการ 

“ผมบอกกับแพทย์ท่านนั้นว่า ผมไม่มีทางที่จะให้คนที่ผมไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเขามีความรู้ด้านกฎหมายหรือเปล่า เอาความคิดของเขามาปนในกระดาษคำตอบของผม ที่ผมเตรียมตัวมาอย่างดีในแต่ละครั้ง”

ถึงอย่างนั้น แพทย์ยังคงยืนยันว่า เป็นกระบวนการคิดร่วมกันของสองคนอยู่ดี พร้อมเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเกมกระซิบส่งสาร ที่เมื่อสารส่งผ่านกันต่อๆ สารก็จะเปลี่ยน

แม้ทนายเคนจะอธิบายถึงที่มาและ เหตุผลอย่างละเอียด แต่คำตอบของแพทย์กลับทำให้เขาตกใจยิ่งขึ้น เมื่อถูกมองว่าการขอผู้ช่วยเขียน 2 ครั้งก่อนนั้น นับเป็น ‘การเอาเปรียบคนอื่น’

“ผมฝึกฝนและเล่าเรียน ในหลักสูตรของวิชากฎหมายมาตลอด ตามขั้น ตามตอน ทุกอย่างผลักดันให้ผมได้กระทำลงไป ให้ฝึกฝน อ่านหนังสืออย่างมีวินัย เป็นเพราะความฝันอย่างเดียว คือการเป็นผู้พิพากษา”

นี่คือคำตอบกลับของทนายเคน หลังแพทย์คนดังกล่าว ได้ถามว่า ชีวิตของทนายเคนจะไม่มีความสุขแล้วหรือไม่ หากไม่ได้สอบศาล หรือ สอบอัยการ ยิ่งไปกว่านั้น แพทย์คนดังกล่าวว่า ‘ความฝันเปลี่ยนกันได้’ พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า ทนายเคนมีศักยภาพมากพอ ที่จะทำสิ่งอื่นที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร 

ที่สำคัญคือ แพทย์แจ้งว่าจะทำความเห็นส่งไปยังคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ‘ไม่ให้ทนายเคนเข้าสอบ’ อีกด้วย จนส่งผลให้ ครั้งแรกในชีวิตการสอบผู้พิพากษา ไม่ปรากฏรายชื่อของเขา เป็นผู้มีสิทธิเข้าสอบ

‘เป็นเพราะร่างกาย’ นี่เป็นคำตอบสั้นๆ จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เมื่อเข้าทวงถามคำอธิบาย และแจ้งเพียงว่า เป็นคำตัดสินของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ว่าไม่มีสิทธิ์สอบ 

เมื่อไม่มีหนทางใดไปต่อ นายเคนจึงเลือกที่จะสื่อสารผ่านสื่อมวลชน และช่องทางออนไลน์ต่างๆ จนกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างนั่นเอง

ขณะเดียวกัน ทนายเคนยังได้ยื่นหนังสือ ให้ทางสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมพิจารณาอีกครั้ง ว่า ร่างกายของเขาไม่ได้มีอุปสรรคในการทำงานด้านกฎหมาย และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วในฐานะทนายความ 

“ผมทำอาชีพทนายความมา ทำคดีมาหลายคดีมาก ร่างกายของผมไม่เคยเป็นอุปสรรคในการทำงานเลย ไม่เคยก่อให้เกิดความเสียหายกับคดีความ หรือกับลูกความที่มาจ้างผม”

จนนำมาซึ่งคำชี้แจงของ ศาลยุติธรรม ระบุว่า การปฏิเสธไม่ได้มาจากข้อจำกัดทางร่างกาย แต่เป็นเพราะการใช้ผู้ช่วยเขียนนั้นแตกต่างจากผู้อื่น และเป็นการใช้ความคิดของสองคนตามความเห็นของแพทย์  แม้ทนายเคนจะชี้แจงเพิ่มเติมโดยเปรียบเทียบความเหมือนในหน้าที่ผู้ช่วยเขียนกับเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ ก็ไม่เป็นผล

ถึงตอนนี้ หากเป็นคนอื่นอาจมีถอดใจไปบ้าง แต่ไม่ใช่สำหรับทนายเคน เขาถึงได้เตรียมตัวอย่างหนัก สำหรับการสอบครั้งใหม่ในรอบนี้ ด้วยความตั้งใจ ‘ไม่ยื่นขอผู้ช่วยเขียน’ สิ่งที่เขาร้องขอมีเพียง ที่นั่งสำหรับวีลแชร์ เพื่อให้เขาสามารถเขียนคำตอบได้สะดวก 

ทว่า ผลลัพธ์กลับไม่ต่างออกไป เขายังคงไม่พบรายชื่อตนเอง ว่ามีสิทธิ์ในการเข้าสอบ ตามข้อมูลที่เขาได้เขียนเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 68

เมื่อโทรสอบถามสาเหตุ เจ้าหน้าที่ให้คำตอบสั้นๆ ว่า “พิจารณาจากภาพรวม” และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับร่างกาย ซึ่งจนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ได้คำอธิบายที่ชัดเจนไปกว่านั้น จึงอดไม่ได้ ที่ทนายเคนจะมองว่า ร่างกายของตน คือสิ่งเดียวที่แตกต่างจากผู้อื่นโดยภาพรวม

[ศรัทธาในความยุติธรรม ‘ไม่สั่นคลอน’]

ในประเด็นการเรียกร้องสิทธิ์เข้าสอบผู้พิพากษา ทนายเคนย้ำว่า ไม่ว่าการสอบจะจัดขึ้นที่ใด ย่อมต้องมีการถกเถียงเรื่องความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายงานยุติธรรม ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากเกี่ยวข้อง 

ทนายเคน  กล่าวว่าการเรียกร้องครั้งนี้ ทำในฐานะที่เป็นผู้ศึกษากฎหมาย และเข้าใจหน้าที่ของผู้พิพากษา ที่ต้องใช้ความรู้และความสามารถ เพื่อความยุติธรรมในสังคม ผ่านการหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบข้อกฎหมาย และทำคำพิพากษา ซึ่งเป็นภาระงานที่ไม่ต้องใช้แรงกายมากนัก ทำให้ทนายเคนเชื่อมั่นว่า ตนสามารถทำหน้าที่นี้ได้

แม้การเป็นผู้พิพากษาอาจไม่ใช่ความฝันตั้งแต่วัยเด็ก แต่ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย และความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นจุดตั้งต้นให้ ทนายเคน มองว่า อาชีพด้านกฎหมายเป็นทั้งความฝัน และทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทนายเคนสามารถทำได้เหมือนคนทั่วไป โดยไม่เคยคิดที่จะใช้ข้อจำกัดทางร่างกาย เพื่อเรียกร้องสิ่งใดเลย

“ผมมีความใฝ่ฝันที่อยากจะใช้ชีวิตให้ปกติสมบูรณ์มากที่สุด เลยหลีกเลี่ยงการใช้สิทธิพิเศษ…วันนี้เหมือนเราต้องเอาร่างกายของเรามาเป็นประเด็นในสังคม ซึ่งผมไม่เคยต้องการ ผมอยากพิสูจน์ชีวิต ด้วยความรู้ความสามารถ ผลงานของผม” ทนายเคน อดดิ่งไปกับคิดนี้ไปชั่วครู่

“​​เราพยายามใช้ภูมิต้านทานที่แข็งแรง ห่อหุ้มจุดตรงนี้ไว้ตลอด แต่ถึงวันนี้เราต้องเอาจุดที่เราห่อหุ้มมาตลอดมาเป็นประเด็นในสังคม ก็จะรู้สึกต่อตัวเอง และเป็นห่วงคนรอบข้าง”

ทว่า ข้อข้องใจเกี่ยวกับความยุติธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้ ความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้องลดน้อยไปเลย ในทางกลับกัน ทนายเคน ในฐานะที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย จึงยิ่งต้องตั้งมั่นและไปจนสุดทาง ยืนหยัดเพื่อนักศึกษากฎหมายอีกจำนวนมาก ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างกัน เพราะนี่จะกลายเป็นบรรทัดฐานในทางปฏิบัติ

“มีน้องๆ นักศึกษาที่ร่างกายไม่แข็งแรง ที่เรียนกฎหมายเยอะมาก ผมบอกว่า ผลที่เกิดขึ้นกับผม คนที่ใจสลายมากกว่า ไม่ใช่ผมนะ แต่เป็นน้องๆ ที่เรียนอยู่” 

สำหรับ ทนายเคน มองว่า ทุกคนในสายอาชีพกฎหมาย ต่างมีความฝันและความพยายามเหมือนๆ กัน ต่างกันที่ร่างกายเท่านั้น เขาถึงยังเชื่อว่า จะมีโอกาสได้เข้าสอบในสนามสอบผู้พิพากษา เพราะนั่นจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่สวยงามในอนาคตกับทุกภาคส่วน

“ชีวิตของผมมันเล็กมาก เมื่อเทียบกับความฝัน แต่ความฝันของผมมันก็เล็กน้อยเหมือนกัน เมื่อเทียบบรรทัดฐานที่จะเกิดขึ้น” ทนายเคนกล่าวทิ้งท้าย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง