เมื่อต้นปี Gel Boys ซีรีส์วัยรุ่น ที่น่าจะเก็บความเป็น Gen Z ได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการ ด้วยการถ่ายทำทั้งเรื่องบน iPhone ซึ่งเหมาะสมที่สุด สำหรับการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละคร ที่สื่อสารผ่านมือถือ เพราะแทบจะเป็นอวัยวะที่ 33 ของคนยุคปัจจุบัน
และนี่ก็เป็นอีกผลงานสร้างชื่อของผู้กำกับภาพ อย่าง ตั้ง-ตะวันวาด วนวิทย์ หรือ TANG BADVOICE (ตั้ง แบดวอยซ์) ที่บอกว่าปฏิกิริยาแรกของการได้โจทย์ว่าต้องถ่ายทำด้วยโทรศัพท์มือถือทั้งหมด คือ ‘ล่ก’
“ตอนบล็อกช็อตที่สยาม แค่เอากล้อง DSLR ไป คนมองเต็มเลย และก็มีคนมาเล่นกล้องตลอดเวลา แต่เราไม่สามารถปิดสยามได้ ก็เลยต้องหาวิธีใหม่ๆ แล้วดันเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่สื่อสารกันด้วยโทรศัพท์ เลยรู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นจริง ก็น่าจะเหมาะกับการที่จะใช้โทรศัพท์ถ่ายทำนะ”
ถึงตอนแรกมีเสียงค้าน บอกว่า ‘บ้าเหรอ ใครจะถ่ายซีรีส์ด้วยโทรศัพท์’ แต่ไม่ลองคงไม่รู้
…จนกระทั่งก่อนถ่ายจริงอาทิตย์เดียว เสียงยืนยันของ บอส – นฤเบศ กูโน ผู้กำกับซีรีส์ Gel Boys ที่อยากให้เป็นเรื่องเดียวของประเทศไทย ที่ถ่ายซีรีส์ด้วยโทรศัพท์ เลยทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง
[ทดสอบทุกอย่าง เพื่อให้ถ่ายซีรีส์ด้วย iPhone ได้จริง]
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา คือช่วง ‘ติวเข้มมือถือ’ ระดับมาราธอน ตั้งและทีม ปิดตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน และทำการทดลองเพื่อหาขีดจำกัดเท่าที่มือถือเครื่องหนึ่งจะรับไหว
“เรามี iPhone คนละเครื่องไว้เทสระบบต่างๆ คนหนึ่งก็ไปเทสว่า มันร้อนเท่าไหร่ถึงจะช็อตหรือดับ ก็เอาไปอบ เพื่อทดสอบอุณหภูมิสูงสุดที่เครื่องรับได้”
จนสุดท้าย พวกเขาก็มาลงตัวที่การใช้ iPhone 15 และ 15 Pro Max ที่ใหม่ที่สุดในขณะนั้น ด้วยเหตุผลว่า iPhone สามารถถ่าย Log File ที่เอามาเกรดสีต่อได้ และสามารถใช้แอปพลิเคชั่นอย่าง Black Magic มาควบคุมทุกอย่างได้เหมือนกล้องจริง
โดยในกองถ่ายจะมี iPhone นับสิบเครื่องไว้เปลี่ยนใช้ เหมือนเปลี่ยนแบตเตอรี่ เพื่อไม่ให้จังหวะถ่ายสะดุด
และเมื่อพวกเขาไปถ่ายก็ได้ผล เพราะว่าทีมแบ่งรูปแบบทำงานเป็นสองโหมด มีแบบ ‘Luxury’ ที่ต่ออุปกรณ์เสริมชนิดที่อยากได้อะไรก็เสียบให้ได้หมด แลกกับการที่อุปกรณ์จะใหญ่ และหนักขึ้นไว้ใช้ในการถ่ายทำแบบปิดที่พวกเขาสามารถควบคุมได้
รวมถึงแบบ ‘พรางตัว’ ที่พวกเขาใช้เวลาไปถ่ายที่สยาม คือถอดอุปกรณ์ออกหมด โดยใช้แค่ iPhone เปล่าๆ ถ่ายทำ ซึ่งทำให้การถ่ายทำเร็วขึ้น และดึงความสนใจน้อยลง “เพราะทุกคนคิดว่าเราถ่าย TikTok”

[ใช้โทรศัพท์ถ่าย ประหยัดงบ เปิดความเป็นไปได้]
หนึ่งในข้อดีที่ไม่คาดคิดนอกจากประหยัดเวลา คือการประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น การทำ post production หน้าจอโทรศัพท์ ที่มักจะให้นักแสดงเล่นไปก่อน แล้วค่อยมาใส่ตามที่หลังแต่ Gel Boys ใช้วิธีอัดหน้าจอนักแสดงก็เล่นจริง คุยจริง ทำให้ “ประหยัดงบโพสต์โปรดักชันไปหลายแสน”
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดภาพที่สร้างสรรค์เกินคาดคิด เพราะเมื่ออุปกรณ์เล็กและเบา ตั้งก็สามารถสร้างมุมมองใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ทดลองได้มากกว่า รวดเร็วกว่า และดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นอุปสรรคของช่างภาพหลายๆ คน เพราะอุปกรณ์หนัก ทำให้ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
“การถ่ายเร็วมากครับ สมมติผมถือกล้องตามนักแสดง ถ้าเป็นกล้องใหญ่ก็ต้องใช้ Ronin ประกอบเป็น 30 กิโล แต่ iPhone แค่ถือเดิน.
“มันอะเมสซิ่งมาก ผมได้มุมใหม่ๆ แปลกๆ เยอะเลย โดยเฉพาะจากการใช้ ‘เทปกาว’ ปกติเป็นของคู่กองถ่ายอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ได้ใช้แบบสุดโต่ง เช่น เอา iPhone ไปติดกับพัดลม แล้วเปิดพัดลมให้หมุน ก็ได้มุมหมุนแปลก ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน”
อย่าง ซีนหนึ่งที่ตัวละคร เอาขนมมาเสิร์ฟบนถาด ตั้งก็เอา iPhone ไปวางบนถาด แล้วหนีบด้วยคลิปหนีบกระดาษ กลายเป็น POV พอเขาหยิบถาดขึ้นมา ก็เป็นช็อตเลื่อนใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดคิดสดหน้างานจากความเป็นมือถือ
“มันช่วยทีมงานด้วย เพราะผมเคยมีปัญหาสุขภาพ เรื่องกระดูกสันหลังจากการแบกกล้องหนักๆ บางตัวหนักถึง 46 กิโล เวลาถ่ายกดดันมาก ต้องรีบๆ ถือกล้องนานๆ แล้วหลังพัง แต่พอเป็น iPhone ทุกอย่างเบาขึ้นมาก”
[Democratize Film Making for Dreamers เมื่อการถ่ายทำในโทรศัพท์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ ]
“ตอนนี้งานโฆษณาที่ติดต่อผมมา มีแต่ที่อยากให้ถ่ายด้วย iPhone ครับ อย่างล่าสุด ที่ถ่ายของบัส ก็ต้องใช้ iPhone หมดเลย แล้วตอนนี้ในวงการทุกคนก็อยากได้แบบนั้น”
เมื่อถามว่าการที่เครื่องมือใกล้ตัวสามารถสร้างผลงานระดับอาชีพได้ อย่างนี้จะนับเป็นการ Democratize ให้ใครๆ สามารถเป็นคนทำหนังได้หรือไม่
ตั้งเห็นด้วยอย่างไม่รีรอ โดยเทียบกับการถ่ายฟิล์ม ที่เพียงวินาทีเดียวก็มีมูลค่านับร้อยบาท กับการสามารถทดลองได้อย่างไม่จำกัด ตราบใดที่มีอุปกรณ์ เวลา และแบตเตอรี่ของการถ่ายทำด้วยโทรศัพท์มือถือ
“ตอนนี้เทคโนโลยีมันพร้อมมาก ใครๆ ก็ทำหนังได้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะอุปกรณ์รอบตัวเข้าถึงง่ายขึ้นมาก ผมว่าเทคโนโลยีทำให้เราโฟกัสที่ ความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้น ไม่ต้องเครียดเรื่องอุปกรณ์เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนกว่าจะทำหนังสักเรื่อง บทต้องเป๊ะมาก ต้องผ่านการอนุมัติ ไม่มีที่ให้พลาดเลย ทุกตำแหน่งต้องเก่ง ต้องเป๊ะ แต่ผมเชื่อเรื่องการลองผิดลองถูก เพราะมันพาเราไปเจอสิ่งใหม่ๆ เสมอ”
ตั้งออกตัวว่า เขาชอบเทคโนโลยี ชอบทุกอย่างที่ทำให้งานง่ายขึ้น ยิ่งเครื่องมือเก่งขึ้น เรายิ่งไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเซ็ตอัปเยอะๆ แล้วก็ได้โฟกัสกับการคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งเขามองว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ดี
[การเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Here’s to the Dreamers]
ในปีนี้ ตั้ง ตะวันวาด ได้เป็นหนึ่งในครีเอเตอร์ นักพัฒนา ศิลปิน และผู้มีความคิดสร้างสรรค์ จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ Apple ในโครงการ Here’s to the Dreamers ที่กลับมาในธีม Dream Beyond ซึ่งเฉลิมฉลองความหลงใหลและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ที่เขาบอกว่าเข้ากับชีวิตของเขาเป็นอย่างยิ่ง
“มันตรงกับคอนเซปต์ชีวิตผม คือการเดินไปมั่วๆ ดิ้นรนไปเรื่อยๆ จนถึงความฝัน ถึงจะไม่รู้ว่าจะไปถึงยังไง แต่ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อไปให้ได้”
“ผมคือผลลัพธ์ของความ ‘มั่ว’ ครับ หลักการชีวิตผมคือการทดลองไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ที่มหาวิทยาลัย หรือที่ไหนๆ เรียกผมไปพูด ไม่ใช่เพราะผมเก่งกว่า หรือฉลาดกว่าคนอื่น แต่เพราะผมพลาดมาเยอะกว่า เลยมีประสบการณ์มาเล่า ทดลองเยอะๆ พลาดเยอะๆ เดี๋ยวมันก็จะเจอสิ่งที่ใช่เอง”
และความมั่วนั้น พาให้เขาค้นพบเส้นทางที่นอกเหนือกับเส้นการทำภาพยนตร์
“พาร์ตถ่ายหนัง ผมอยากเป็นมากๆ เหมือนมีความรู้สึกว่า ต้องได้สิ่งนี้ อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายหนัง ก็เลยคิดตลอดเวลาว่าจะทำยังไงให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ การถ่ายหนังมันเป็นทั้งวิทยาศาสตร์ครึ่งหนึ่ง และความรู้สึกอีกครึ่งหนึ่ง”
แน่นอนแม้แต่งานที่ชอบ ก็ต้องมีส่วนที่ไม่ถนัดซ่อนอยู่ อย่างที่ตั้งมีช่วงที่ต้อง ไฟต์กับตัวเอง เพราะถ้าอยากเป็น DP (Director of Photography) แบบมืออาชีพจริงๆ ต้องข้ามไปให้ได้ เขาเลยอุทิศหลายเดือนให้กับการนั่งท่องตัวเลข จำว่าสปอตไลต์ตัวนี้ใช้กี่โวลต์ กี่เฮิรตซ์ สูตรการคำนวณต่างๆ จนเข้าใจจริงๆ
ในทางตรงข้าม ตั้งไม่ได้คาดหวังอะไรเลยกับพาร์ตทำเพลง เขาทำเพราะสนุก แล้วก็ลองอัดเพลงเล่นๆ ลงเฟซบุ๊ก กับยูทูป ปรากฏว่า คนฟังจริง กลายเป็นจุดเริ่มต้นโดยไม่ตั้งใจ
แต่การทำเพลงให้ทั้งตัวเอง และผู้อื่นกลับกลายเป็นการ Dream Beyond ไปเกิดกว่าที่คิด
“สำหรับผม Dream Beyond ล่าสุดก็คือการทำเพลง กุญแจรถ กับวง ‘PorMorLor’ตอนแรกผมไม่คิดเลยว่าจะทำได้ เพราะสมาชิกวงนี้ ไม่มีใครมีประสบการณ์ทำเพลงมาก่อนเลย คนหนึ่งเป็นผู้จัดการผม อีกคนเป็นนักวาดรูป อีกคนเป็นเพื่อนบ้านเฉยๆ ไม่เคยร้องเพลง ไม่เคยออกกล้อง แต่เรามาช่วยกันแต่งเพลงนี้ แล้วผมก็บอกว่า ‘เอ้า! งั้นพวกแกมาร้องเองเลยละกัน’”
เขามองว่านี่แหละ Dream Beyond เพราะไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นได้เลย แต่ตอนนี้มีถึง 7 เพลงแล้ว ถึงขั้นวางแผนทำเป็นอัลบั้มเต็มของวงไปเลย
[ความฝันของผู้ชาย ที่ไม่แผนชีวิตไกลกว่าสัปดาห์หน้า]
“ความฝันของผม คือการได้ทำในสิ่งที่อยากทำอย่างอิสระครับ ทั้งการถ่ายหนังที่อยากถ่าย และการทำเพลงที่อยากทำ”
ตั้งเล่าว่า เขาไม่ค่อยวางแผนอนาคตไกลๆ ใช้ชีวิตแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์มากกว่า ตารางงานก็อัปเดตแค่สัปดาห์ต่อสัปดาห์ โฟกัสว่าตอนนี้อยากทำอะไร เพราะเคยลองวางแผนล่วงหน้ายาวๆ แล้วทำไม่ได้ สุดท้าย เครียด รู้สึกอึดอัด เลยเน้นแบบ “ตอนนี้สำเร็จเลย” มากกว่า
ถึงตอนนี้ ความฝันในอนาคตของ ตั้ง ตะวันวาด คืออะไรกัน? เมื่อถามถึงศิลปินที่อยากร่วมงานด้วยในอนาคต เขาเผยชื่อว่า อยากทำเพลงด้วยคือ RM จาก BTS และสำหรับภาพยนตร์ก็คือ พี่น้องโคเอน หรือ Joel และ Ethan Coen
“ผมชอบมากๆ ทั้งรสนิยมการทำเพลง และหัวข้อที่เขาหยิบมาเล่า โดยเฉพาะอัลบั้มที่พูดถึงชีวิต และความเจ็บปวด ผมรักอัลบั้มนั้นมาก ถึงจะเป็นอัลบั้มที่ไม่ค่อยมีคนฟังก็ตาม และถ้าได้จริงๆ ผมอยากร่วมงานกับ พี่น้องโคเอนครับ ถือว่าเป็นที่สุดของผมเลย”
สำหรับเป้าหมายระยะสั้น ในเชิงของรางวัลการกำกับภาพ เขาหวังเพียงแค่อยากจะเริ่มต้นด้วยการได้รับรางวัลในประเทศก่อน จากการเข้าชิง ในสาขากำกับภาพยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์วิมานหนาม
บทสนทนากับตั้ง ตะวันวาด จบลงตรงบทเรียนที่ใหญ่กว่า iPhone Gel Boys พิสูจน์ว่า การถ่ายด้วยโทรศัพท์ไม่ใช่ลูกเล่น แต่เป็น ‘ภาษาภาพ’ ที่สอดรับข้อจำกัดของเมืองใหญ่ และวิธีสื่อสารของคนรุ่นใหม่ และเบาตัวขึ้นสำหรับคนถือกล้อง ทุกอย่างย้ำว่า เมื่อกำแพงอุปกรณ์เตี้ยลง แก่นของงานก็กลับไปอยู่ที่ไอเดีย ดังที่ตั้งสรุปไว้ว่า ‘เครื่องมือเก่งขึ้น เราก็เอาเวลาไปอยู่กับความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น’
เมื่อเครื่องมีอยู่ใกล้ตัว ความฝันและความสร้างสรรค์ก็อยู่ใกล้มือมากขึ้น เพียงแค่มีความอยากลอง และความกล้าที่จะผิดพลาด ก็เพียงพอให้เรื่องเล่าของคุณ Dream Beyond ได้แล้ว











