ใครดู Tempest ซีรีส์เกาหลีเรื่องใหม่ของ Disney+ Hotstar ซึ่งเกาหลีใต้เป็นตัวการสำคัญ ที่จะหยุดสงครามระหว่างสองประเทศ ที่ขึ้นชื่อเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ อย่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ อาจจะคิดว่ามันช่างดูเหนือจริง แต่ความจริงแล้ว สถานการณ์และตัวละครเหล่านี้ อาจจะไม่ได้ไกลเกินจริงอย่างที่คิด เพราะเมื่อเราดูให้ลึก อาจจะพาให้นึกถึง บุคคล เหตุการณ์ และกลไกการเมืองในชีวิตจริง
เรื่องราวของ Tempest เริ่มต้นขึ้น ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งที่ดุเดือด จางจุนอิก (รับบทโดย พัคแฮจุน) ผู้สมัครตัวเต็งขวัญใจคนรุ่นใหม่ ถูกสังหาร กลางการปราศรัยเรื่องรวมชาติอย่างสันติ
โดยที่มีซอมุนจู (รับบทโดย จอนจีฮยอน) ภรรยาของเขา ที่เป็นอดีตทูตสหประชาชาติ เอาตัวป้องสามีจากปลายปืนของคนร้าย เขาตาย เธอกลายเป็นฮีโร่ และเธอกำลังจะขึ้นเป็นผู้สมัครประธานาธิบดี เพื่อขวางสงครามที่กำลังซัดสู่คาบสมุทรเกาหลี
ภายใต้ความลับที่รู้มาว่า ‘สหรัฐอเมริกา’ เชื่อว่า ‘เกาหลีเหนือ’ มีเรือดำน้ำนิวเคลียร์ 10,000 ตัน รอก่อสงครามอยู่ ประธานาธิบดีเฮาเซอร์ แห่งสหรัฐฯ จึงอยากจะชิงเปิดศึก กำจัดความเสี่ยงให้สิ้นซาก
แต่หากเกิดสงคราม มีหรือว่าประเทศที่อยู่ตรงกลางอย่าง ‘เกาหลีใต้’ จะรอดพ้น เธอเลยต้องทำทุกทาง เพื่อที่จะหยุดสงครามนี้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตแค่ไหนก็ตาม
***บทความนี้มีอาจเทียบเคียงข้อมูล เข้ากับเนื้อหาของเรื่องเล็กน้อย***
[ เกาหลีใต้แดนต้องคำสาปทาง ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ]
จริงอยู่ว่าหนังและละคร ที่มีประเด็นการเมืองหรือกู้โลกใดๆ พระเอกนางเอก จะต้องแบกรับภารกิจที่ ถ้าทำไม่ได้ก็อาจนำมาสู่หายนะ แน่นอนว่า เราเชื่อเงื่อนไขเหล่านี้ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะกับภาพยนตร์ฝั่งอเมริกา เพราะใครๆ ต่างรู้ว่าอเมริกาขยับตัวที ย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ใน Tempest เกาหลีใต้ ดูเป็นหนึ่งในประเทศสำคัญ ที่จะสามารถหยุดสงครามนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว บทบาทจริงของเกาหลีใต้เป็นอย่างไร? อย่างแรกที่ต้องพูดถึง คือ ความสำคัญในแง่ Geopolitics หรือ ภูมิรัฐศาสตร์ ของประเทศเกาหลี เพราะว่าเป็นประเทศที่หลายคนเรียกว่า ‘แดนต้องคำสาปของภูมิรัฐศาสตร์’ ด้วยความที่เกาหลีอยู่ในดงประเทศมหาอำนาจ เกาหลีจึงเคยเป็น ‘ทั้งรัฐกันชนและฐานรุก—ดั่งปลาน้อยกลางหมู่วาฬ’
บทความ Korea’s Place In History จาก Forbes อธิบายเรื่องนี้ไว้แบบเข้าใจง่ายว่า เพราะเป็นคาบสมุทรที่อยู่ตรงกลาง เกาหลีก็เลยเป็นกันชน ทั้งทางบกและทางทะเล สำหรับประเทศรอบๆ
คาบสมุทรเกาหลี ยื่นออกมาจากจุดตัดของจักรวรรดิรัสเซียกับจีน จึงเปรียบเหมือนโล่ป้องกันทะเลเหลือง คุ้มกันทางสู่เทียนจินและท่าเรือที่ใกล้ปักกิ่งที่สุด แถมคาบสมุทรนี้ก็ยังกินพื้นที่ไปใกล้ญี่ปุ่น ที่อยู่ห่างไปประมาณ 100 กิโลเมตร โดยมี เกาะสึชิมา คั่นกลาง
เช่นนี่เอง ญี่ปุ่นถึงมองว่า คาบสมุทรเกาหลีเป็นทั้งคมมีดจ่อคอหอย และสะพานสู่แผ่นดินใหญ่ฝั่งเอเชีย ในช่วงต่างๆ ของประวัติศาสตร์จวบจนปัจจุบัน เกาหลีเลยทำหน้าที่เป็นกันชนระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นกับรัสเซีย จีนกับสหรัฐฯ และแม้แต่มหาอำนาจยุโรปกับจีนไปโดยปริยาย
แม้ว่าการอยู่ตรงกลางจะช่วยเพิ่มความมั่นคง ในเชิงว่าชาติมหาอำนาจ อาจจะลังเลที่จะครองเอาดินแดน คล้ายๆ กรณีของไทยที่เป็นรัฐกันชน แต่ด้วยความที่ใกล้มือจีนกับญี่ปุ่น เกาหลีจึงเหมือนกับต้องคำสาป ให้ถูกคุกคามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สำหรับ เกาหลีผูกสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการกับจีนเป็นเวลาหลายร้อยปี และเคยตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น 35 ปี แม้ภายหลังจะได้เอกราช ก็ยังถูกอเมริกา และสหภาพโซเวียต แบ่งเป็นสองฝั่ง โดยเกาหลีเหนือพึ่งจีนและรัสเซียด้านความมั่นคง ตั้งแต่สงครามเย็น ส่วนเกาหลีใต้ก็พึ่งพาสหรัฐฯ

ภาพ Disney+ Hotstar
จนถึงทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าคำสาปนั้นยังคงไม่คลายมนต์ขลัง อย่างที่สื่อต่างประเทศ วิเคราะห์ว่า ‘ปัจจุบัน จีนยังคงมองเกาหลีเหนือเป็นพื้นที่กันชน ระหว่างพรมแดนจีนกับกองกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ และกั้นการขยายตัวของญี่ปุ่นในอนาคต ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็มองว่าเกาหลีใต้เป็นส่วนหนึ่งของกันชน ระหว่างอำนาจของเอเชียที่กำลังขยายตัวกับแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ’
ด้วยเหตุผลนี้ ‘การรวมชาติโดยสันติ’ ที่เป็นชนวนสำคัญในเรื่อง และเป็นสาเหตุที่ทำให้จุนอิกถูกสังหาร จึงมีความสำคัญกับมหาอำนาจที่กล่าวมาทั้งหมด เพราะถ้าเกาหลีเหนือและใต้แยกกันอยู่แบบนี้ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมามีอำนาจเหนือคาบสมุทรมากเกินไปได้ ดังนั้น เกาหลีที่เข้มแข็ง และเป็นอิสระอย่างแท้จริง คือสิ่งที่ไม่มีมหาอำนาจจากภูมิภาคใดต้องการ
“ผมคิดว่าการรวมชาติเป็นแค่หนึ่งในทางเลือกที่เรามี แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเรากำลังนั่งอยู่บนระเบิดเวลาที่มีนามว่าสงคราม การรวมชาตินั้นเหมือนกับความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าเราจะพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหนก็ตามที”
คำพูดของจุนอิก จากซีรีส์ตอนที่ 3 จึงอาจจะกำลังสะท้อนความจริง และทัศนคติของประชาชนะเกาหลีอีกมากมาย ที่กำลังถูกมองข้าม นั่นคือ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความด้านชากับข่าวคราวของเกาหลีเหนือ ความต้องการที่จะรวมชาติ หรือแม้แต่มองคนเกาหลีเหนือเป็นพี่น้องก็จืดจางลงไปทุกที
ทว่า ยิ่งแตกแยกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเปิดพื้นที่ให้กับความขัดแย้ง จนประเทศที่หาประโยชน์จากปมนี้เติบโต จนอาจกลายเป็นสงครามที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ดังนั้น การตายของจุนอิก (ไม่สปอยล์นะ อยู่ในโปรโมต) ในวิหารที่ทุกคนเข้ามาเพื่อภาวนาร้องขอพระผู้เป็นเจ้าเพื่อการรวมชาติ คลุมเครือว่าใครสั่งการ จึงอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของบริบทนี้ และเป็นเหมือนกับการเกริ่น ว่าหากเกาหลีใต้ไม่สามารถหยุดความขัดแย้งได้ อาจเกิดโศกนาฏกรรมตามมาอย่างในซีรีส์
[ เกาหลีเหนือ-สหรัฐ และสงครามนิวเคลียร์ ]
นอกจาก การตายของจุนอิก ปมใหญ่ถัดมาในเรื่อง คือ สงครามนิวเคลียร์ระหว่าง ‘เกาหลีเหนือและสหรัฐฯ’ ที่ดูจะสอดคล้องกับข่าวคราวในโลกจริง จนหลายคนอดจะคิดเหมือน แชคยองชิน (รับบทโดย คิมแฮซุก) ประธานาธิบดีในเรื่องไปไม่ได้
“สงครามเป็นเกมที่ใครหลบก่อนก็จบ คนบ้าคลั่งสองคนกำลังขับรถพุ่งเข้าใส่กัน …ก็โดดขึ้นรถของพวกบ้าคนหนึ่ง แล้วลองหักพวงมาลัยไม่ให้รถชนกัน”
หากเกิดสงครามเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าอย่างไร ด้วยภูมิประเทศที่อยู่ติดกัน และความสัมพันธ์กับสหรัฐ เกาหลีใต้ก็จะต้องกลายเป็นสมรภูมิรบอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่า ในความเป็นจริง โอกาสที่เกาหลีเหนือจะเปิดฉากสงครามนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ ถูกมองว่ายังคงต่ำอยู่มาก เพราะผลลัพธ์คือความเสียหายทั้งสองฝ่าย แต่สัญญาณจากพยองยางก็เพิ่มความกังวลในภูมิภาคอยู่เสมอ

ภาพ Disney+ Hotstar
อย่างล่าสุด คิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ กล่าวเมื่อสิงหาคม 2025 ว่า เกาหลีเหนือ จำเป็นต้องเร่งขยายคลังอาวุธนิวเคลียร์อย่างรวดเร็ว และเรียกการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ–เกาหลีใต้ ว่าเป็น ‘การแสดงออกอย่างชัดเจน ถึงความตั้งใจที่จะยั่วยุให้เกิดสงคราม’ สะท้อนถึงท่าทีที่แข็งกร้าว และการใช้การซ้อมรบร่วมเป็นเหตุผลในการเร่งพัฒนาอาวุธ
ขณะเดียวกัน คิมยอจอง นักการทูตชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้นำสูงสุด ก็ยืนยันทางเลือกของเกาหลีเหนือ ว่าเป็นรัฐที่จะครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ “นี่คือทางเลือกของเรา ที่ทั้งมั่นคงแน่วแน่ และไม่ว่าจะใช้กำลังหรือกลโกงใดๆ ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจให้เราหวนคืนได้”
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ออกมาประกาศ ลงนามคำสั่งเปลี่ยนชื่อ กระทรวงกลาโหม กลับมาเป็น กระทรวงการสงคราม ที่อ้างอิงชื่อดั้งเดิมที่ใช้ตั้งแต่ปี 1789 เมื่อสมัยที่อเมริกาเพิ่งมีรัฐธรรมนูญถาวร และมีการจัดตั้งรัฐบาลกลาง ถึง 1947 โดยเปลี่ยนเป็น Department of Defense เพื่อเน้นย้ำการมีกองกำลัง เพื่อป้องกันตัวเองมากกว่ารุกราน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงในปี 1945
การเปลี่ยนกลับเป็นชื่อเดิม โดยให้เหตุผลว่า ชื่อเดิมสะท้อนถึงชัยชนะในสงครามก่อนๆ ได้ดีกว่า และตรงตัวกว่า ดูจะขัดแย้งกับภาพที่เขาเคยขายไว้ก่อนหน้า ที่จะเป็นประธานาธิบดีที่ต่อต้านสงคราม
ด้านพีต เฮกเสธ รัฐมนตรีกลาโหม ประกาศว่า “เราจะรุก ไม่ใช่แค่รับ เราจะเน้นความร้ายแรงสูงสุด ไม่ใช่แค่ความถูกต้องตามกฎหมายที่ครึ่งๆ กลางๆ เราจะสร้างผลลัพธ์ด้วยกำลัง ไม่ใช่ความถูกต้องทางการเมือง…เราจะสร้างนักรบ ไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์ ดังนั้น กระทรวงการสงครามแห่งนี้ท่านประธานาธิบดี มันคือสัญญาณว่าอเมริกากลับมาแล้ว”

ภาพ Disney+ Hotstar
สิ่งนี้ถูกสะท้อนใน Tempest ผ่านตัวละครประธานาธิบดีเฮาเซอร์ ที่ใช้แนวคิด ‘peace through strength’ หรือการสร้างความสันติผ่านการใช้กำลัง ซึ่งเคยถูกใช้ในการเมืองสหรัฐอยู่หลายสมัย เช่น ประธานาธบดี โรนัลด์ เรแกน หรือแม้แต่ประธานาธิดีทรัมป์เอง ก็นำมาใช้ในประกาศเปลี่ยนชื่อกระทรวง
โดประธานาธิบดีเฮาเซอร์ใน Tempest ก็พูดคล้ายกันว่า ‘น่าเศร้าที่สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ด้วยการใช้กำลังเท่านั้น นี่คือวิธีที่เราสร้างโลกให้สวยงาม’
จากทั้งหมดที่เล่ามานี้ พอจะทำให้เห็นว่าการถอยห่างจากอาวุธนิวเคลียร์ แทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น แม้ยังไม่มีฝ่ายใดอยากกดปุ่มจริง แต่ความตึงเครียดที่สะสมไว้ ก็คงไม่แพ้กับสถานการณ์การเมืองใน Tempest แน่นอน
[ ตัวละครชวนให้นึกถึง ‘บุคคลจริง’ ]
นอกจากบริบททางการเมือง ที่ดูจะอ้างอิงจากเรื่องจริงแล้ว สิ่งที่ Tempest ทำได้อย่างเฉียบคม คือการใช้ตัวละครซ้อนทับกับบุคคลจริงในโลกการเมือง
- จางจุนอิก กับ ชินโซ อาเบะ
สาเหตุการเสียชีวิตของ จางจุนอิก นั้นใกล้เคียงกับเหตุลอบสังหาร อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ระหว่างขึ้นปราศรัย เพื่อหาเสียงให้กับสมาชิกของพรรคเสรีประชาธิปไตยในเมืองนารา โดยลักษณะการเสียชีวิตของทั้งคู่มีความใกล้เคียงกัน ทั้งการเสียชีวิตระหว่างปราศรัย และลักษณะแผลที่กระสุนเจาะเข้าที่คอเช่นกัน
- ซอมุนจู กับ แจ็กเกอลีน เคนเนดี
ซีนไอคอนิก เลือดที่เปื้อนบนชุดสูทขาวของซอมุนจู ในเหตุการณ์ลอบสังหารนั้น ก็ชวนให้คิดถึงเลือดที่เปื้อนบทชุดสูทสีชมพู ของ แจ็กเกอลีน เคเนดี ในวันที่สามีของเธอถูกยิงเสียชีวิต

ภาพ Disney+ Hotstar
โดยเธอปฏิเสธที่จะเปลี่ยนชุด และสวมมันจนกระทั่งถึงพิธีสาบานตน ของ รองประธานาธิบดี ลินดอน บี. จอห์นสัน ทั้งชุดและเหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของทั้งประวัติศาสตร์การเมืองและแฟชั่นของโลก
- แชคยองชิน กับ พัคกึนฮเย
แน่นอนว่า ประธานาธิบดีหญิงในเรื่องอย่าง แชคยองชิน (รับบทโดย คิมแฮซุก) ก็ทำให้ไม่พลาดนึกถึง พัคกึนฮเย อดีตประธานาธิบดีหญิงหนึ่งเดียวของเกาหลีใต้ ลูกสาวของอดีตประธานาธิบดีพัคจองฮี ผู้ขึ้นครองตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยการรัฐประหาร
- คิมฮันซัง กับ เหล่าผู้นำระดับสูงเกาหลีเหนือ
ชื่อของผู้นำเกาหลีเหนือในเรื่องอย่าง คิมฮันซัง ที่แปลรวมกันได้ความว่า ‘คิม ตลอดไป’ ก็คงทำให้คิดถึงใครอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากผู้ชายจากตระกูลคิม ที่ครองอำนาจในเกาหลีเหนือมาอย่างยาวนาน จนไม่ว่าจะกี่ยุค ก็อาจจะต้องเป็น ‘คิมนำตลอดไป’
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวของ มุนจู จุนอิก และแม่ของจุนอิก อย่าง อิมอ๊กซอน ก็ชวนให้นึกถึงความสัมพันธ์ ของ ครอบครัวแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ โดย ซารา แม่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูกชาย ไม่ชอบสะใภ้ ที่เธอเคยมองว่าไม่คู่ควร แต่สุดท้ายก็ยอมรับสะใภ้คนนี้ได้
[ I have a dream ฝันถึงชีวิตที่เลือกเอง? ]
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือการอ้างอิงถึงสุนทรพจน์ทางการเมือง ที่โด่งดังที่สุดบทหนึ่งอย่าง I Have a Dream หรือ ผมมีฝัน ของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ถูกนำมาสะท้อนสิ่งที่ตัวละครปรารถนา และขาดหายไปจากสังคมเกาหลี
เมื่อมฝันถึงความเท่าเทียม แต่ด้วยความเจ็บปวด จากการเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ ความฝันของมุนจู คือการ ‘ได้เป็นผู้ชาย’
‘ฉันมีฝัน ในฝันนั้นฉันเป็นผู้ชาย ที่เสิร์ฟซุปร้อนๆ ให้กับคนชรา ได้ยื่นมือออกไปหาคนก่อน โอบกอดพวกเขาก่อน เขาร้องเพลงกับเด็กๆ เปิดหัวใจให้โลกรู้ และจุดไฟในหัวใจของเยาวชน ที่สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในการทำสงครามได้ หากเพียงต้องการ’
ความฝันของมุนจู สะท้อนว่า ‘พื้นที่ของผู้หญิง’ แคบกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในสนามการเมือง ที่สิทธิและอำนาจถูกผูกกับเพศ แม้แต่การเป็นผู้ให้ การเปล่งเสียง และการปลุกใจ ก็ถูกทำให้เป็นบทบาทของผู้ชาย จนท้ายที่สุด มีแค่การเปลี่ยนเพศในความฝันเท่านั้น ที่จะทำให้เธอมีสิทธิทำในสิ่งที่ต้องการ

ภาพ Disney+ Hotstar
ขณะที่ ซานโฮ เฝ้าฝันถึงการมีเป้าหมายในชีวิต ‘ผมมีฝัน ในฝันนั้นผมเป็นผู้หญิง แม้เจอพายุ ผมก็อยากวิ่งฝ่ามันไป’
ถึงภาพและคำอาจชวนให้ตีความ ว่าความฝันของเขาคือมุนจู แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง สิ่งที่มือปืนรับจ้างไร้สัญชาติและหลักแหล่งโหยหา อาจะเป็นเจตจำนงที่ต่อสู้เพื่อบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เจตจำนงแรงกล้า ที่แม้ต้องเผชิญกับพายุ ก็ยังอยากจะวิ่งฝ่ามันไปอย่างที่มุนจูทำ
สองความฝันที่สวนทางกัน กลับสะท้อนความจริงเดียวกัน นั่นคือ สิทธิในการเลือกอนาคตของตัวเอง สิทธิที่ในสังคมจริงยังถูกบีบคั้นด้วยเพศและอำนาจ
[เมื่อซีรีส์สะท้อนโลกจริง]
ถึงตอนนี้ รายละเอียดของความจริง ที่ถูกซ้อนทับเข้าไปในซีรีส์ ทีละชั้นอย่างปราณีต ไม่เพียงแต่ทำให้ Tempest เป็นซีรีส์ที่ทั้งสมจริง และสะท้อนความเป็นจริงของเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ชวนให้ผู้ชมได้คิดถึงบทบาทของตัวเอง ในการกำหนดทิศทางของชาติ
ในอดีตเกาหลีใต้ อาจไม่มีอำนาจพอที่จะเลือกอะไรได้ แต่ในตอนนี้ อาจจะยากที่ประชาชนจะยังหลับตา นั่งอยู่บนระเบิดเวลาแห่งสงคราม ที่ไม่แน่ว่าจะปะทุขึ้นในวันใด คำถามจึงไม่ใช่แค่สงครามจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่คือ สิทธิแห่งการกำหนดชะตาที่อยู่ตรงหน้า ใครจะคว้ามันไว้ต่างหาก
อ้างอิง










