เอกชนเผยสเปคนายกฯใหม่ที่หวัง คาดครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าห่วง ธุรกิจไม่กล้าลงทุน หนี้เสียเพิ่ม

เอกชนเผยสเปคนายกฯใหม่ที่หวัง คาดครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยน่าห่วง ธุรกิจไม่กล้าลงทุน หนี้เสียเพิ่ม

การเงิน

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังแม้ดีลสงครามการค้าจะนิ่งลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีประเด็นให้ต้องตามต่อ และไทยยังต้องเผชิญ ‘ความกดดันทางการเมือง’ อาจฉุดให้เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาด คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยปิดปี 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% 

แล้วเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเผชิญอะไรบ้าง? TODAY Bizview จะสรุปความเห็นจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แก่ ‘ผยง ศรีวณิช’ ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย, ‘เกรียงไกร  เธียรนุกุล’ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ‘ดร.พจน์  อร่ามวัฒนานนท์’ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยให้ครบจบผ่านบทความนี้

[ ปัจจัยการเมืองกระทบเศรษฐกิจ เอกชนไม่กล้าลงทุน หนี้เสียเพิ่มขึ้น ]

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มองว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก ‘ความไม่แน่นอนทางการเมือง’ ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น 

จากสถานการณ์ที่มีการประกาศยุบสภาและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ รวมถึงการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ สร้างความสับสนในตลาด และทำให้เกิดภาวะ “ชะงักงัน” ในการดำเนินงานภาคเอกชนต้องการความชัดเจนโดยด่วน

การมีรัฐบาลรักษาการเพียง 4 เดือนนั้นเป็นการตอบโจทย์ทางการเมือง แต่ไม่ใช่คำตอบทางเศรษฐกิจ เพราะนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริงต้องเป็นนโยบายระยะยาว เพราะผลกระทบที่ต้องเผชิญจะมีเรื่องการชะลอตัวในการตัดสินใจและการลงทุน ในช่วงที่การเมืองไม่มีความชัดเจน นักลงทุนจะชะลอการตัดสินใจ และการที่รัฐบาลไม่เข้มแข็งทำให้ภาคเอกชนเดินหน้าลำบาก และหน่วยงานภาครัฐก็ดำเนินงานแบบระมัดระวัง ไม่เต็มที่ สิ่งที่ต้องแก้ไขอย่างรวดเร็วกลับจะช้าลง

หรือปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะงบประมาณปี 2568 มีการเบิกจ่าย ‘งบลงทุน’ ไปเพียง 50.95% ใน 11 เดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 60% กว่า หากเป็นรัฐบาลรักษาการ จะใช้ได้เพียงงบประจำเท่านั้น ทำให้การขับเคลื่อนการลงทุนใหม่ๆ เป็นไปได้ยาก 

นอกจากนี้ จะได้เห็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น แนวโน้มหนี้เสียแย่ลง โดยเฉพาะสำหรับคนตัวเล็ก ธุรกิจขนาดกลาง เล็ก ไมโคร และซูเปอร์ไมโคร ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะงักงัน

ส่วนผลกระทบต่อการค้าชายแดนก็ยังมีอยู่ เช่น การส่งออกของไทยไปยังกัมพูชาลดลงอย่างมากถึง 97% ในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นถึงปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องการการแก้ไขโดยเร่งด่วนจากรัฐบาลใหม่

[ ภาคเอกชนอยากได้นายกรัฐมนตรีใหม่ที่เข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นเดินหน้าได้ลำบาก ]

นอกจากนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยังบอกสเปคนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่า ควรเป็นคนที่ได้รับการยอมรับและชอบธรรมทางกฎหมาย ภาคเอกชนต้องการความชัดเจนโดยด่วนในรูปของรัฐบาลที่มาตามความชอบธรรมทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ 

โดยนายกคนใหม่ต้องมีคุณธรรม ความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญในการตัดสินใจ ต้องการนายกรัฐมนตรีที่ดี เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และมีคณะรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาได้เพราะหากรัฐบาลไม่เข้มแข็ง ภาคเอกชนก็เดินหน้าได้ลำบาก

[ ปัจจัยอื่นฉุดเศรษฐกิจ เงินบาทแข็งไม่สอดคล้องเศรษฐกิจ ]

สำหรับปัจจัยกดดันเศรษฐกิจไทยอย่างอื่น กกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง 

จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม

นอกจากนี้ ด้าน กกร. กังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยพบความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่สูงขึ้น และการทำธุรกรรมที่ขาดข้อมูลเชิงลึก เช่น การโอนเงินแรงงานต่างด้าวนอกระบบและธุรกรรมคริปโตฯ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) 

กกร. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งวิเคราะห์ผลกระทบเชิงโครงสร้างและพิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ เช่น กองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อสร้างสมดุลค่าเงิน

นอกจากนี้ สำหรับปัจจัยการค้ากับสหรัฐฯ กกร. ได้หารือกับ ธปท. สศช. และ สศค. เพื่อหาทางออกต่อผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศ ทั้งความเหลื่อมล้ำ หนี้ครัวเรือน เศรษฐกิจนอกระบบ การขาดการลงทุนด้านผลิตภาพ และแรงงานขาดทักษะ รวมถึงความไม่ต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐที่ฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตไทยอย่างต่อเนื่อง

และกกร. ให้ความเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ พร้อมผลักดันการยกระดับแรงงานผ่านการ Up-Skill, Re-Skill, Multi-Skill และ New Skill เพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ลดต้นทุนการผลิต และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

AyosiriWriterAyosiri
เป็นนักข่าวการเงิน สนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด ประวัติศาสตร์ อยากสื่อสารให้เรื่องเป็นเงินสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง