ก.ล.ต.ปรับปรุงหลักเกณฑ์กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยการขยายขอบเขตเพิ่มทางเลือกการลงทุน รองรับมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศ มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 16 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
‘พรอนงค์ บุษราตระกูล’ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้ปรับปรุงประกาศเพื่อขยายขอบเขตการลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน รวม 5 ฉบับ
โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้วเมื่อ 16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีผลให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งหรือแก้ไขโครงการจัดการเพื่อลงทุนตามขอบเขตการลงทุนใหม่ที่กว้างขึ้นได้
ทั้งนี้ ทาง ก.ล.ต. ได้จัดซักซ้อมความเข้าใจ บลจ. และผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567
ซึ่งภายใต้เงื่อนไขใหม่ Thai ESG จะมีทางเลือกในการลงทุนในหุ้นที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืนที่ได้รับการประเมินโดยสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นอิสระที่หลากหลายมากขึ้น
อีกทั้งยังลงทุนในบริษัทที่มีธรรมภิบาลในระดับดีเลิศที่เปิดเผย corporate value up plan ผ่าน platform ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน
นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ยกระดับเกณฑ์กำกับดูแล บลจ. ในการบริหารจัดการ Thai ESG โดย บลจ. ต้องใช้ความรู้ ความสามารถและความชำนาญ ด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวัง (fiduciary duty) ในการคัดเลือกทรัพย์สินที่มีคุณภาพ เพื่อการลงทุนตามวัตถุประสงค์ของ Thai ESG
สำหรับการลงทุนในกองทุน Thai ESG สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท/คน/ปี สำหรับการซื้อหน่วยลงทุนระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569
ทั้งนี้ ต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะประเมินผลของการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีในครั้งนี้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินมาตรการ 3 ปี










