‘The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะ’ ภาพยนตร์ที่จะพาเราไปผจญภัยในใจตัวเอง

‘The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะ’ ภาพยนตร์ที่จะพาเราไปผจญภัยในใจตัวเอง

WATCHING

รีวิวและวิเคราะห์ ‘The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะ’ ภาพยนตร์ที่จะพาเราไปผจญภัยในใจตัวเอง

‘The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะเป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซี จากค่ายหนังคุณภาพอย่าง A24 ที่เคยมีผลงานอย่าง Midsommar, Moonlight และ Minari ผลงานกำกับของเดวิด โลเวอรี ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ได้แง่บวกอย่างท่วมท้น ทั้งในแง่การแสดงที่ยอดเยี่ยม งานภาพที่สวยงามตลอดทั้งเรื่อง และบทที่มีเสน่ห์ด้วยความกำกวมชวนให้ตีความได้หลายแง่มุมเข้ากับยุคปัจจุบันแม้จะเป็นตำนานที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 14 ก่อนจะถูกดัดแปลงโดย เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ผู้แต่ง The Lord of the Rings แต่ถ้าใครดูแล้วงง บทความนี้อาจพอเป็นไกด์ให้ชมได้อย่างลื่นไหลขึ้น

The Green Knight บอกเล่าเรื่องราวของเซอร์กาเวน (เดฟ พาเทล) หลานของกษัตริย์ที่ไม่มีความสำเร็จหรือตำนานเล่าขานอย่างใครเขา ในคืนคริสมาสต์เขาได้ร่วมโต๊ะกับกษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมคนอื่น เมื่ออัศวินเขียวผู้ลึกลับปรากฏกาย ท้าทายใครมีคนเอาดาบฟันเขาแล้วเขาจะมอบขวานของเขาให้เป็นการตอบแทน แต่อีกหนึ่งปีข้างหน้าเขาจะขอเอาคืน กาเวนรับคำท้าและตัดหัวของอัศวินเขียว จากนั้นเขาก็ได้รับเสียงสรรเสริญชื่นชม เรื่องราวของเขาถูกเล่าไปทุกที่ จนหนึ่งปีผ่านไปเขาจึงต้องออกเดินทางไปหาอัศวินเขียวพร้อมใจที่หวั่นกลัวเพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้ และเขาก็ได้พบกับเรื่องประหลาดมหัศจรรย์มากมายระหว่างทาง

ถึงแม้จะเรื่องนี้มีเนื้อหาที่ต้องตีความอยู่เหมือนกันเพื่อให้สัมผัสความหมายที่อยู่ลึกไปกว่าเรื่องตำนานที่ดูห่างไกลกับชีวิตเรา แต่ The Green Knight ไม่ได้เข้าใจยากเท่าที่คิดเพราะสัญญลักษณ์หลายอย่างถูกอธิบายไปแล้วในเรื่องและขมวดได้อย่างเรียบร้อยในตอนจบ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเสน่ห์ของ The Green Knight อยู่ที่การเปิดให้ตีความองค์ประกอบต่าง ในเรื่องและผู้ชมแต่ละคนอาจจะได้รับสารที่ต่างกันไป ทำให้การเดินทางไปกับตัวละครในภาพยนตร์ของผู้ชมแต่ละคนนั้นพิเศษไม่ซ้ำกัน 

บางคนอาจมองเห็นอัศวันเขียวเป็นตัวแทนของวงจรชีวิตหรือกาลเวลาที่ไม่อาจเอาชนะได้ เหมือนต้นไม้ที่แม้จะถูกตัดแต่ก็งอกกลับขึ้นมาใหม่ และแม้เราจะหนีได้สักปี สิบหรือร้อยปี กาลเวลาก็จะพรากชีวิตไปจากเราในสักวันหนึ่ง คล้ายกับที่ตัวละครที่ตัวละครเลดี้พูดในเรื่องว่าสีเขียวคือสีของชีวิตและความตายและในเวลาที่เราใช้ชีวิตวิ่งตามสีแดงที่เป็นตัวแทนของราคะความปรารถนาต่าง แต่ในสักวันสีเขียวจะค่อย คืบคลานตามมาเหมือนสีเขียวของสนิมที่ขึ้นบนดาบ ตะไคร่น้ำที่จับบนหลุมศพ สื่อความทุกอย่างจะถูกกลืนกินกลับไปสู่ธรรมชาติไม่ว่าความชั่วหรือดีที่ทำไว้ 

นี่ทำให้สามารถตีความต่อได้ว่าขวานก็เหมือนเกียรติ ยศศักดิ์ หรือความภูมิใจที่ชีวิตได้มอบให้มาแต่เมื่อตายแล้วก็ต้องคืนไป ทำให้การเดินทางของกาเวนเหมือนเป็นการเดินทางผ่านชีวิต แต่ละอย่างที่เขาเจอระหว่าทางอาจเป็นตัวแทนของอุปสรรคในชีวิตนั่นเอง แต่บางคนอาจเก็บรายละเอียดในเรื่องแล้วเห็นว่าการเดินทางของกาเวน เป็นบทเรียนชีวิตที่แม่มอบให้กับลูก บางคนอาจะมองวันเป็นการนำเสนอว่าความตายอาจจะเป็นตอนจบของชีวิตที่แสนสุขกว่าการต่อสู้ในทุกวัน หรือดูเป็นการตีความเชื่อมโยงกับปัจจุบันอัศวินเขียวอาจะเหมือนโรคภัย ที่ตอนแรกเข้ามาอย่างเรียบ เหมือนจะยอมให้เราเอาชนะได้ง่าย แต่รอเวลาที่จะพัฒนาเติบโตกลับมาอย่างแข็งแรงและเพื่อชนะเราในภายหลังก็ได้เช่นกัน 

นอกจากเรื่องที่เอื้อต่อการตีความให้เชื่อมโยงถึงตัวเองได้แล้ว ตัวละคร กาเวน เป็นหนึ่งในจุดหลักของเรื่องที่ทำให้ The Green Knight ต่างกับตัวละครอัศวินอื่น ในตำนานที่ดูห่างไกลชีวิตจริง พวกเขามักจะกล้าหาญ บ้าบิ่น และยึดความดีมาเหนือสิ่งอื่น แต่กาเวนมีความเป็นมนุษย์แบบที่ผู้ชมจะเข้าใจได้มากกว่าด้วยความโหยหาในความสำเร็จในชีวิต นิสัยรักตัวกลัวตาย หรือการเห็นแก่ตัวเล็กน้อยแบบที่คนทั่วไปมักจะมีทำให้ง่ายต่อการที่ผู้ชมจะเชื่อมโยงถึงและลองคิดว่าถ้าหากเราเป็นตัวละครจะเลือกทางเดียวกับที่เขาเลือกหรือไม่ 

The Green Knight จึงเป็นภาพยนตร์ที่ชวนให้เราจะได้ทบทวนสิ่งที่เราเจอมาในชีวิต พาให้เราเรียนรู้การกัดเซาะของเวลาอันเป็นนิรันดร์ ที่ทำลายได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความรัก เกียรติยศ หรือสังขาร และเป็นการผจญภัยที่มีความหมายทางจิตวิญญาณมากกว่าครั้งไหน ชมภาพยนตร์ The Green Knight ศึกโค่นอัศวินอมตะได้ในโรงภาพยนตร์ 

วาดฝัน Writerวาดฝัน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง