ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินปลายปี 2568 เศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยปัจจัยเสี่ยง ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป
ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็เจอแรงกดดันหลายด้าน แม้จะมีมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลใหม่ แต่ยังไม่เพียงพอให้การเติบโตกลับมาแข็งแกร่ง โดยคาดว่า GDP ไทยปีนี้โตเพียง 1.9%
และหากมองให้ลึกขึ้นในแต่ละจุด TISCO ESU ได้วิเคราะห์ภาพรวมตลาดออกมาได้อย่างชัดเจน พร้อมคำแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีด้วย
[ ดอกเบี้ยเฟดลดไม่แรงอย่างที่หวัง ]
‘ธนภัทร ธนชาต’ นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ TISCO ESU เล่าว่าแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณเปราะบาง แต่ยังไม่ถึงขั้นถดถอย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อกับการดูแลตลาดแรงงาน
TISCO ESU มองว่า ปลายปี 2569 ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะอยู่ในกรอบ 3.25–3.50% ลดลงจากปัจจุบันเพียง 0.75% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดว่าจะต่ำกว่า 3%
เนื่องจากมองว่าเฟดจำเป็นต้องเดินหน้าอย่างระมัดระวัง ไม่เร่งลดดอกเบี้ยจนแรงเกินไป โดยเหตุผลสำคัญก็คือ
1.เงินเฟ้อ ยังสูงกว่าระดับเป้าหมาย 2%
2.ตลาดแรงงาน ชะลอลงแต่ไม่ได้อ่อนแรงรุนแรง การว่างงานยังเพิ่มไม่มาก
3.ตัวชี้วัดแรงงาน เช่น การลาออก ความเห็นภาคธุรกิจ บ่งชี้เพียงการชะลอแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การทรุดตัวทันที
[ หวั่นฟองสบู่เทคโนโลยี? ]
ด้าน ‘ธนธัช ศรีสวัสดิ์’ นักกลยุทธ์ TISCO ESU เตือนว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดบวกกับกระแส AI ดันหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ NVIDIA ทำราคาสร้างสถิติสูงต่อเนื่อง จน S&P 500 ทะลุ 6,600 จุด ทั้งที่เศรษฐกิจจริงชะลอ
การใช้โมเดล ‘Hopes & Dreams’ วิเคราะห์มูลค่าตลาด พบว่า กว่า 66% ของมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ สะท้อนเพียงความหวังของนักลงทุน มากกว่าปัจจัยพื้นฐานจริง เป็นสัดส่วนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ใกล้เคียงช่วงฟองสบู่ดอทคอม
ดังนั้น นักลงทุนควรกระจายลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น โลหะมีค่า แม้ราคาทองขึ้นมาแล้วเกือบ 40% ในปีนี้ แต่ยังมีแรงหนุนระยะยาว
[ ตลาดการเงินยังเสี่ยงทั้งหุ้น–ตราสารหนี้ ]
‘คมศร ประกอบผล’ หัวหน้า TISCO ESU ชี้ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญแรงกดดัน 3 ด้านใหญ่
1.เศรษฐกิจโลกโตชะลอ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่การจ้างงานลดลง
2.เงินเฟ้อสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้น หลังมาตรการขึ้นภาษีเริ่มมีผล ทำให้เฟดลดดอกเบี้ยได้จำกัด
3.มูลค่าสินทรัพย์สูงเกินจริง ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ หุ้นหลายตลาดทำจุดสูงสุดใหม่ ค่า P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ก็มี Credit Spread ต่ำสุดในประวัติการณ์
โดยประเมินว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐาน 5–10% จากระดับปัจจุบัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ที่เริ่มขาขึ้นจะกดดันมูลค่า (Valuation) ของตลาด
[ เศรษฐกิจไทยเจอแรงกดดันมากกว่าตัวช่วย ]
แม้ครึ่งปีแรกของปีนี้ GDP ไทยขยายตัวกว่า 3% แต่เป็นแรงส่งชั่วคราวจากการเร่งส่งออกก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล TISCO ESU ประเมินทั้งปีโตเพียง 1.9% และปีหน้าเหลือ 1.6%
สำหรับปัจจัยกดดันหลักในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่ต้องเจอหลังจากนี้ ดังนี้
– การบริโภคเอกชนเริ่มชะลอ
– การลงทุนรัฐสะดุดช่วงปลายงบประมาณ
– นักท่องเที่ยวอาจไม่ถึงเป้า 33.5 ล้านคน
– ค่าเงินบาทแข็งกว่าปัจจัยพื้นฐาน
– มาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ กระทบผู้ประกอบการรายเล็ก
แม้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 1.50% แต่เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโตต่ำและเงินเฟ้อต่ำ ยังถือว่าสูง TISCO ESU คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดต่อเนื่อง จนเหลือ 0.75% กลางปี 2569
[ บาทแข็งโจทย์ใหญ่ที่สุดของไทย ]
อย่างที่บอกไปว่าเรื่องของค่าเงินบาทเป็นหนึ่งปัจจัยกดดันที่ต้องเจอ เพราะการที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องสวนเศรษฐกิจจริง ส่วนหนึ่งมาจากเงินทุนไหลเข้าที่ไม่สามารถระบุแหล่งที่มา (NEO) ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็น ‘เงินทุนสีเทา’ รัฐบาลและสมาคมธนาคารไทยจึงเริ่มตรวจสอบอย่างจริงจัง
อีกทั้ง เงินเฟ้อไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยเพียง 1.1% ต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วมาก ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่า 16% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลลบต่อการส่งออกและท่องเที่ยว
TISCO ESU มองว่าโจทย์เร่งด่วนคือ การทำให้นโยบายการเงินและการคลังสอดรับกัน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ เพิ่มสภาพคล่อง กระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับมาใกล้ 2% และสร้างสมดุลเงินทุนระหว่างประเทศ
โค้งสุดท้ายปี 2568 เศรษฐกิจโลกและไทยยังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน คำแนะนำหลักจาก TISCO ESU ก็คือ ‘ลดเสี่ยง’ ด้วยการลดน้ำหนักหุ้นที่ผันผวนสูง เน้นหุ้นสาธารณูปโภคที่รายได้มั่นคง และเพิ่มสัดส่วนทองคำ–เงิน ซึ่งยังเป็นเครื่องมือป้องกันพอร์ตในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนห










