ด้วยโครงสร้างประชากร และความสามารถการเข้าถึงดิจิทัลของอินเดีย ทำให้อินเดีย เป็นตลาดใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งมานาน ทั้งบริษัทสายแพลตฟอร์มอย่าง Meta, Google และสายคลาวด์ อินเดียยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ปั้นคนทำงานสายเทคด้วย ดังนั้น อินเดีย จึงดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคใหญ่ได้ไม่ยากเย็น
รัฐบาลก็พยายามกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน รวมถึงการเดินสายไปพบต่างชาติ และล่าสุดเป็นการเดินสายด้วยตัวเองของ Narendra Modi (นเรนทรา โมดี) นายกรัฐมนตรีอินเดีย
21 มิ.ย. ที่ผ่านมา Modi เยือนทำเนียบขาวพบกับ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ Modi ก็ได้พบกับบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ในทริปนี้ด้วย

Amazon ลงทุน 26,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
เริ่มจาก Amazon ประกาศว่าจะใช้เงินลงทุนในอินเดียเป็น 26,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 (ราวกว่า 9 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการประกาศหลังจาก Andy Jassy (แอนดี้ แจสซี่) ซีอีโอ Amazon เข้าพบนายกรัฐมนตรี Modi ในสหรัฐฯ
โดยงบก้อนนี้เป็นการลงทุนจากหลายธุรกิจของ Amazon เมื่อเดือนที่แล้ว Amazon Amazon Web Services (AWS) ธุรกิจกลุ่มคลาวด์ของ Amazon ประกาศว่าจะลงทุน 12.9 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 เช่นกัน และก่อนหน้านี้มีการประกาศแผนการลงทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์ เสริมธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย แข่งกับ Flipkart ของ Walmart ด้วย เท่ากับว่าเงินลงทุนก้อนใหม่ที่ Jassy เพิ่งประกาศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีกราว 6.5 พันล้านดอลลาร์
Google จะเปิดศูนย์เทคโนโลยีการเงินในอินเดีย
ส่วน Google นำโดย Sundar Pichai ซีอีโอของ Alphabet บริษัทแม่ Google ประกาศจะ สร้างศูนย์เทคโนโลยีการเงินระดับโลกใน Gujarat International Finance Tech-City หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า GIFT City ซึ่งอยู่ในเมือง Gujarat ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของ Modi ด้วย
โปรเจกต์นี้จะเข้าไปช่วยสนับสนุนโซลูชั่นการเงินของ Google อย่าง GPay ที่เปิดใช้งานในอินเดียมานาน และจะช่วยสนับสนุน Unified Payments Interface หรือ UPI ระบบการเงินของอินเดียที่ช่วยให้ประชาชนใช้มือถือเพื่อเข้าถึงอีคอมเมิร์ซ เป็นโซลูชันการชำระเงินแบบ peer-to-peer ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐอินเดีย และบริษัทหลายแห่งรวมถึง Google ด้วย
นอกจากนี้อินเดียยังมีระบบ Aadhaar ซึ่งเป็น ID ไบโอเมตริกที่รัฐสร้างขึ้นสำหรับประชาชน ซึ่งใช้สำหรับการชำระเงินและบริการอื่นๆนอกจากนี้ Google จะขยายการใช้งาน Bard ให้ครอบคลุมภาษาถิ่นในอินเดียที่ใช้กันด้วย
อินเดียเป็นฐานผลิตสินค้า Apple อยู่แล้ว
Apple นำโดย Tim Cook เป็นหนึ่งในคนที่ได้คุยกับนายกรัฐมนตรี Modi ที่ทำเนียบขาวด้วย แม้ Apple ไม่ได้แถลงลงทุนอะไรเป็นพิเศษ แต่ที่ผ่านมา Apple พึ่งพาอินเดียในฐานะฐานผลิตสินค้า กระจายความเสี่ยงจากจีน โดยสินค้าที่ผลิตแล้วในอินเดียคือ iPhone14 และเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา Apple เปิด Apple Store แห่งแรกในอินเดียแล้ว และมีข่าวลือว่าจะเปิดเพิ่มด้วย
และด้วยความที่อินเดีย เป็นตลาดใหญ่ของสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี มีข่าวลือด้วยว่า Apple เล็งจะเปิดใช้งาน Apple Pay ในอินเดีย แข่งกับ GPay และ Samsung Pay
Tesla อาจตั้งโรงงานที่อินเดีย
Elon Musk ซีอีโอ Tesla ก็ได้พูดคุยกับ Modi ในนิวยอร์กด้วย มีรายงานว่า Tesla กำลังเจรจากับอินเดีย เพื่อตั้งโรงงาน ขยายเครือข่ายการผลิตไปยังสหรัฐฯ จีน เยอรมนี และเม็กซิโก
นอกจากรายชื่อบริษัทที่เล่ามาทั้งหมดแล้ว ยังมีผู้ผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ Micron Technology กล่าวว่า จะลงทุน 825 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโรงงานประกอบ และทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ในรัฐคุชราตของอินเดีย

ส่งท้าย
ในขณะที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน ตึงเครียด การทำธุรกิจระหว่างกันลำบาก สหรัฐฯค่อยๆ เอนเข้ามาอินเดียมากขึ้น และอินเดียก็เอนเข้ามาสหรัฐฯเหมือนกัน เพราะตัวเองก็ไม่ถูกกับจีน
ในแง่ธุรกิจ ความน่าดึงดูดใจของอินเดียมาจากขนาดตลาดภายในประเทศ อินเดียกำลังแซงหน้าจีนในฐานะประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวคาดว่าจะสูงถึง 2,600 ดอลลาร์ในปีนี้ และจะแตะสูงสุด 3,000 ดอลลาร์ในปี 2025
และไหนจะยังมีความสามารถในการผลิตบุคลากรเทคโนโลยี อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น จนซีอีโอ ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีโลก มีคนเชื้อสายอินเดียเต็มไปหมด
ในทริปเยือนสหรัฐฯ ล่าสุดนี้ Modi ได้แสดงวิสัยทัศน์ในอีเว้นท์ที่ Kennedy Center เขาบอกว่า “เรียกร้องให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ ลงทุนในอินเดีย เพราะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงมือทำ และประสบความสำเร็จ (play and prosper) เนื่องจากรัฐบาลทั้งสองได้ปูทางให้พวกเขา ใช้ประโยชน์จากโอกาสมากมายที่อินเดียมอบให้”
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Apple เริ่มผลิต iPhone 14 ในอินเดียแล้ว เตรียมปั้นเป็นฐานผลิตแห่งใหม่ https://cms.workpointtoday.com/apple-has-started-producing-the-iphone-14-in-india
ที่มา : Reuters, Bloomberg, TechCrunch, Asia Nikkei, India Times










