ปี 2020 เป็นปีที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ต้องอยู่ในสภาวะที่เหมือนว่าถูกกดดันอยู่ตลอดเวลา
การแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว เลือกใช้คำพูดที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ และมั่นใจในตัวเองสูงนั้น ในด้านหนึ่งอาจเรียกคะแนนความนิยมจากคนอเมริกาที่ชื่นชมนโยบายหรือชื่นชอบในตัวของปธน.ทรัมป์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่อีกด้านก็ส่งผลให้ตัวเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนโดนข้าศึกล้อมรอบอยู่ ณ เวลานี้
ปีแห่งการเลือกตั้ง
ความขัดแย้งกับพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามอย่างพรรคเดโมแครตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เนื่องจากมีแนวคิดทั้งด้านการเมืองและสังคมที่แตกต่างกันอยู่หลายมิติ
แม้ว่าการห้ำหั่นกันตามระบอบประชาธิปไตยจะเป็นเสมือนไฟต์บังคับของทั้งคู่ แต่ปัจจัยอื่น ๆ ในขณะนี้ก็ทำให้ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมเเครต สามารถนำแรงกดดันเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ และทำให้เขาเป็นผู้นำในผลโพลหลายสำนักก่อนจะถึงการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนนี้
ในช่วงระยะเวลาประมาณ 4 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง ถือว่าทีมหาเสียงของทรัมป์ยังพอมีเวลาในการพลิกเกมได้ แต่ถ้าผลโพลยังไม่ดีขึ้น แหล่งข่าวภายในพรรครีพับลิกันได้บอกกับฟ็อกซ์นิวส์ว่า เขาอาจถึงขั้นถอนตัวจากการลงเลือกตั้งเลยก็เป็นได้

ความขัดแย้งกับต่างชาติ
ส่วนแรงกดดันนอกประเทศก็เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนต้องเจอ แต่สำหรับทรัมป์แล้ว การเลือกทำสงครามการค้าและประณามจีนเรื่องไวรัส รวมถึงการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์และสังหารนายพลกาเซม โซเลมานี ของอิหร่าน ทำให้สถานการณ์ดูจะตึงเครียดกว่าปกติ
แม้ว่าปธน.ทรัมป์จะไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นเรื่องอิหร่านมาพักใหญ่แล้ว แต่กับจีนนั้น เขาหาโอกาสที่จะพูดถึงแบบรายสัปดาห์เลยก็ว่าได้
การพูดในเชิงลบต่อจีนอาจเป็นผลมาจากตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 ภายในสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้ในเร็ว ๆ นี้ ทำให้เขามุ่งเป้าการโจมตีไปที่จีน ซึ่งเป็นชาติแรกที่มีรายงานการติดเชื้อไวรัสสายพันธ์ใหม่

แต่ในขณะเดียวกันก็มีรายงานที่ค่อนข้างจะออกมาไปในทิศทางตรงข้ามกับที่ปธน.ทรัมป์แสดงออก คือการที่ จอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ออกมาบอกว่านายเก่าของเขาเคยขอให้สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ช่วยเหลือในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง โดยแลกกับการที่ผู้นำสหรัฐฯ จะออกปากสนับสนุนการตั้งค่ายกักกันในมณฑลซินเจียง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
หากคำกล่าวของนายโบลตันเป็นความจริง แรงกดดันที่ปธน.ทรัมป์จะต้องเจออาจไม่รุนแรงเท่ากับที่หลายฝ่ายมองก็เป็นได้ เท่ากับว่าการกล่าวโทษจีนและการใช้คำพูดไปในทางเหยียดเชื้อชาตินั้น มีจุดหมายเพียงแค่ต้องการเรียกคะแนนเสียงจากผู้ที่มีแนวคิดชาตินิยมเท่านั้น
กระแส Black Lives Matter
นอกจากเรื่องชาตินิยมแล้ว อีกเรื่องที่ส่งผลต่อปธน.ทรัมป์อย่างมากในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา คือการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวแอฟริกันอเมริกันที่ถูกตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดลงไปที่คอจนเสียชีวิต
ผู้คนออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ที่ต้นเหตุของการฆาตกรรมครั้งนี้ คือปัญหาการเหยียดสีผิว ที่เชื่อว่าเกิดมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาอย่างยาวนาน คนผิวสีก็มักได้รับการปฏิบัติที่ต่างออกไปจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอเมื่อเทียบกับคนผิวขาว
แต่ปธน.ทรัมป์เองกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาเชื่อว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากตัวบุคคล และออกมาขู่ว่าหากผู้เข้าร่วมชุมนุม Black Lives Matter ก่อความไม่สงบ จะมีการสั่งการให้ใช้อาวุธเข้าจัดการทันที
After stoking the fires of white supremacy and racism your entire presidency, you have the nerve to feign moral superiority before threatening violence? ‘When the looting starts the shooting starts’??? We will vote you out in November. @realdonaldtrump
— Taylor Swift (@taylorswift13) May 29, 2020
คนที่ออกมาตอบโต้ผู้นำสหรัฐฯ ด้วยเสียงที่ดังที่สุดก็คือ เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องชาวอเมริกา ที่ใช้ทวิตเตอร์ของเธอ @taylorswift13 ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 86 ล้านบัญชีเป็นกระบอกเสียง (@realDonaldTrump ของปธน.ทรัมป์มีผู้ติดตามประมาณ 82 ล้านบัญชี)
เทย์เลอร์ สวิฟต์ สวนกลับว่า ทรัมป์สนับสนุนแนวคิดเรื่องคนผิวขาวเป็นใหญ่ (white supremacy) และการเหยียดสีผิวมาตลอดช่วงที่เป็นประธานาธิบดี เหตุใดจึงกล้ามาขู่ว่าจะใช้ความรุนแรง และพวกเธอจะโหวตให้ทรัมป์ออกไปในเดือนพ.ย.นี้
ผลสำรวจเอ็กซิตโพลในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016 ของหลายสำนักชี้ชัดว่าฐานเสียงของทรัมป์คือคนผิวขาว ทำให้ตัวเขาเองมีทางเลือกในการรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่มากนัก นอกจากจะต้องแสดงความเห็นให้ตรงกับแนวคิด ที่จะได้เสียงตอบรับในทางบวกจากคนผิวขาวอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่
โซเชียลมีเดียถูกกดดันทางธุรกิจ
แต่แล้วการแสดงความเห็นที่รุนแรงต่อเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก็ทำให้ปธน.ทรัมป์ถูกทวิตเตอร์ออกมาแปะป้ายพร้อมกับขึ้นข้อความเตือนว่าทวีตของทรัมป์มีแนวคิดสนับสนุนความรุนแรง
แต่กับโซเชียลมีเดียรายใหญ่ที่สุดอย่างเฟซบุ๊ก พวกเขากลับนิ่งเฉยต่อข้อความดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสต่อต้านมากมาย แม้กระทั่งในบริษัทเฟซบุ๊กเองก็มีพนักงานออกมาเรียกร้องให้ทางแพลตฟอร์มทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับข้อความที่สร้างความเกลียดชังและความรุนแรง
แต่เมื่อการเรียกร้องจากคนทั่วไปและพนักงานในองค์กรดูจะไม่มีน้ำหนักพอ ไม่นานหลังจากนั้น แคมเปญ #StopHateforProfit ก็ได้ถูกรณรงค์ขึ้นมา เพื่อเรียกร้องให้แบรนด์ใหญ่หยุดลงโฆษณากับเฟซบุ๊ก
แคมเปญนี้ส่งผลให้ธุรกิจใหญ่มากมายออกมาประกาศหยุดการลงโฆษณา ทำให้ทางแพลตฟอร์มเริ่มมีปฏิกิริยาต่อกรณีนี้มากขึ้น เฟซบุ๊กเองอาจไม่ได้คิดว่าการปล่อยให้ข้อความของปธน.ทรัมป์อยู่บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของพวกเขา จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านและส่งผลกระทบต่อรายรับบริษัทแบบนี้

ส่วนทวิตเตอร์เองแม้จะออกมาจัดการทวีตของผู้นำสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มิวายโดนยกเลิกการลงโฆษณาจากบริษัทใหญ่อย่างยูนิลีเวอร์และสตาร์บัคส์ ถือว่าโดนลูกหลงไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในภาคธุรกิจเองถึงแม้จะไม่ได้ออกมาชนกับปธน.ทรัมป์โดยตรง แต่การที่หลายแบรนด์ออกมาสนับสนุน Black Lives Matter และการบอยคอตต์เฟซบุ๊ก อาจถูกมองว่าเป็นการกดดันทางอ้อมได้เช่นกัน
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับท่าทีของปธน.สหรัฐฯ คนปัจจุบันก็ตาม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรัมป์เองคือผู้ที่เข้าไปอยู่ในจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งต่าง ๆ
เวลาเขาออกมาพูดแต่ละครั้ง คนที่เห็นด้วยกับเขาก็จะคล้อยตามมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่เห็นต่างเกิดการต่อต้านมากขึ้น
ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางจะคิดเห็นไปในทางไหน เราคงได้ทราบกันในอีกประมาณ 4 เดือนต่อจากนี้










