ผู้ให้บริการโทรคมนาคมในสหราชอาณาจักรไม่สามารถนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งระบบ 5G จากบริษัทหัวเว่ยได้หลังสิ้นปีนี้ ส่งผลให้แผนงานในการเปลี่ยนผ่านต้องล่าช้าไป 1 ปี
วันที่ 14 ก.ค. 2020 สำนักข่าวบีบีซี (BBC) รายงานว่า โอลิเวอร์ ดาวเดน (Oliver Dowden) รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลของสหราชอาณาจักร ได้แจ้งต่อสภาว่า รัฐบาลตัดสินใจที่จะแบนหัวเว่ยจากระบบ 5G ของประเทศ โดยให้เหตุผลว่าต้องการความโปร่งใสและความแน่นอน
นายดาวเดนยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ง่าย และอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 5G อาจล่าช้าไปประมาณ 1 ปี แต่จะเป็นผลดีกับความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติ ทั้งในตอนนี้และในระยะยาว
คำสั่งที่ออกมาครั้งนี้ห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการด้านคมนาคมทำการติดตั้งระบบ 5G โดยใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยหลังจากวันที่ 31 ธ.ค. 2020 และอุปกรณ์ที่ติดตั้งไปแล้ว ต้องถูกถอดออกทั้งหมดภายในปี 2027
นอกจากระบบ 5G แล้ว ทางรัฐบาลยังได้เตือนผู้ให้บริการค่อยๆ ลดการซื้ออุปกรณ์สำหรับการติดตั้งอินเตอร์เน็ตไฟเบอร์ลง โดยคาดว่าจะมีคำสั่งเพิ่มเติมอีกครั้งภายใน 2 ปี
การออกคำสั่งห้ามในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศให้หัวเว่ยเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทำให้นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน (Boris Johnson) บอกกับสภาว่าจะมีการทบทวนนโยบาย เรื่องการอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์หัวเว่ยอีกครั้ง ก่อนจะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันนี้
สาเหตุที่ทำให้ชาติตะวันตกเกิดความไม่มั่นใจในอุปกรณของหัวเว่ยมาจากกังวลว่าจีนอาจใช้อุปกรณ์ดังกล่าวในการดักข้อมูลเพื่อนำไปส่งให้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจากในประเทศจีนมีกฎหมายด้านข่าวกรองที่ทำให้บริษัทต้องให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาล
แน่นอนว่าทางหัวเว่ยได้ออกมาปฏิเสธ และบอกว่าเป็นการกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน หากทางรัฐบาลจีนมีการขอข้อมูล ทางหัวเว่ยจะไม่มีทางมอบให้เด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม เหล่านักวิเคราะห์มองว่าหากรัฐบาลจีนกระทำการดังกล่าวจริง หัวเว่ยจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องร่วมมือเท่านั้น เพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของจีนมีโทษรุนแรงมาก และที่ผ่านมารัฐบาลจีนก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่จะเคารพต่อสิทธิมนุษยชนหรือข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด
