‘ปูติน’ ยืนยันสงครามยูเครนไม่มีปัญหา เป็นไปตามแผนของรัสเซีย และทุกอย่างโปร่งใสไม่มีใครตั้งคำถาม ส่งสัญญาณพิจารณาใช้ยุทธการชิงโจมตีก่อน อ้างเป็นวิธีที่สหรัฐฯ ชอบนำมาใช้ หลังเพิ่งยืนยันรัสเซียจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธนิวเคลียร์
.
นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เปิดเผยระหว่างการประชุมที่คีร์กีซสถาน โดยยืนยันว่า ปฏิบัติการพิเศษทางการทหารในยูเครน ซึ่งเป็นคำที่รัสเซียใช้เรียกสงครามยูเครนนั้น เป็นไปอย่างมีเสถียรภาพ แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากและอาจต้องใช้ระยะเวลา แต่ทุกฝ่ายในรัสเซียต่างเห็นด้วยกับสถานการณ์ในสนามรบ
.
ผู้นำรัสเซียยืนยันว่า ไม่มีใครตั้งคำถาม และไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ทุกอย่างเดินหน้าไปตามแผน

การออกมาเปิดเผยล่าสุดของประธานาธิบดีปูติน เกิดขึ้นหลังจากที่เขายอมรับเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สงครามยูเครนอาจเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ ใช้เวลานาน ขณะเดียวกันรัสเซียยังเพิ่งเผชิญเหตุโจมตีฐานทัพอากาศในรัสเซีย ซึ่งทางการรัสเซียชี้ว่า นี่เป็นฝีมือของยูเครนที่ดัดแปลงโดรนสมัยโซเวียตมาโจมตี
.
การโจมตีครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงศักยภาพป้องกันน่านฟ้าและพื้นที่ยุทธศาสตร์ของรัสเซีย ขณะเดียวกันยังเกิดเป็นความกังวลถึงความเป็นไปได้ในการโจมตีกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย เนื่องจากจุดที่ถูกโจมตีมีระยะห่างจากชายแดนยูเครนใกล้เคียงกับเมืองหลวงของรัสเซีย
.
ประธานาธิบดีปูตินยังเปิดเผยระหว่างการประชุมครั้งนี้ว่า รัสเซียอาจพิจารณาใช้ยุทธศาสตร์ชิงโจมตีก่อน (preemptive military strikes) โดยอ้างว่านี่เป็นยุทธวิธีที่สหรัฐฯ มักนำไปใช้อยู่เสมอ โดยชี้ว่ารัสเซียมีอาวุธที่พร้อมจะโจมตีในรูปแบบนี้
.
ผู้นำรัสเซียระบุว่า อาวุธที่รัสเซียมีอยู่ในมือมีทั้งขีปนาวุธที่มีศักยภาพเหนือกว่าสหรัฐฯ รวมถึงอาวุธที่ใช้เทคโนโลยีไฮเปอร์โซนิก ที่สามารถนำมาใช้เพื่อเปิดฉากโจมตีก่อนได้
.
โดยในช่วงหนึ่ง ประธานาธิบดีปูตินยอมรับว่า รัสเซียเป็นฝ่ายเดินหน้าโจมตีสาธารณูปโภคในยูเครน ที่ส่งผลให้ชาวยูเครนต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่มีไฟฟ้า-น้ำประปา ในช่วงฤดูหนาว จนถูกวิจารณ์ว่านี่เป็นการกระทำที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีปูตินก็ตั้งคำถามกลับว่า จริงๆ แล้วใครเป็นผู้เริ่มต้นเรื่องนี้ก่อน โดยชี้ว่าใครเป็นคนโจมตีสะพานเชื่อมไครเมีย ใครเป็นคนโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และตัดน้ำในภูมิภาคโดเนสตก์ ทางตะวันออกของประเทศ ที่รัสเซียเพิ่งผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ
.
ที่มา The Guardian, CNA










