ดอกเบี้ยขาลงหนุนหุ้นไทย บลจ.ยูโอบี ให้เป้าดัชนี 1,350–1,400 จุด

ดอกเบี้ยขาลงหนุนหุ้นไทย บลจ.ยูโอบี ให้เป้าดัชนี 1,350–1,400 จุด

การเงิน

ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย หลายฝ่ายจับตาการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลไทยที่จะส่งผลโดยตรงต่อตลาดทุน

โดย ‘ณัฐพล จันทร์สิวานนท์’ กรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ว่าเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณฟื้นตัวทีละน้อย หลังแรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนลดระดับลง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในเทคโนโลยีและการเติบโตของ Generative AI

ด้านเอเชีย โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น ยังคงเผชิญความเปราะบางจากอุปสงค์ภายในประเทศ แต่รัฐบาลต่างกำลังเร่งออกมาตรการกระตุ้นเพื่อพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจ

สำหรับทิศทางดอกเบี้ย คาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงราว 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และมีโอกาสลดอีก 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ประมาณ 3.75%

ขณะที่ไทยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน 0.25% ไปอยู่ที่ระดับ 1.25% และอาจลดต่อเนื่องในปี 2569 เหลือราว 0.75-1.00% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

[ ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ]

ในครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีจากแรงหนุนการส่งออก แต่ครึ่งปีหลังคาดว่าจะชะลอลงจากหลายปัจจัย ทั้งการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงกดดันการบริโภค อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเคลื่อนไหวใกล้ศูนย์หรือติดลบ เพราะราคาน้ำมันที่ลดลงและการแข่งขันด้านราคาสินค้านำเข้า

แต่ถึงแม้ภาพรวมจะไม่สดใส แต่การลดดอกเบี้ยทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่จากรัฐบาลชุดนี้ มีแนวโน้มดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติให้กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ก็มีเงินลงทุนของต่างชาติเข้ามาแล้วกว่า 2-3 พันล้านบาท และคาดว่าช่วงที่เหลือของปีจะทยอยเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง

[ หุ้นไทยให้กรอบ 1,350-1,400 จุด ] 

บลจ.ยูโอบี คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ  SET ปลายปีนี้มีโอกาสยืนที่ 1,350-1,400 จุด โดยมีแรงหนุนจากเงินทุนต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา หลังดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและดอกเบี้ยโลกเริ่มลดลง ขณะเดียวกันการเมืองไทยใกล้เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ยังเป็นแรงคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะถูกนำมาใช้เพิ่มเติม

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ พลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระวังแรงขายทำกำไรหากดัชนีปรับขึ้นเร็วเกินไป เพราะยังมีความเสี่ยงจากการเมืองและภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่กดดันการบริโภคในระยะยาว

ในส่วนของการจัดพอร์ตลงทุน แนะนำตราสารหนี้ 60% และหุ้น 40% โดยหุ้นแบ่งออกเป็น 20% ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ และอีก 20% เป็นการกระจายลงในหุ้นไทย หุ้นญี่ปุ่น หุ้นเวียดนาม

ซึ่งสัดส่วน 60-40% ถือเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนมาก เพราะค่อนข้างปลอดภัย ไม่เสี่ยงมากนัก และยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ราว 6-8% ต่อปี

[ กองทุนเด่นแนะนำ ]

ด้าน  ‘ณัฐพล จันทร์สิวานนท์‘ กรรมการผู้จัดการสายการลงทุน บลจ.ยูโอบี  ได้แนะนำการลงทุนโดยกระจายความเสี่ยงให้เหมาะกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงของแต่ละคน ดังนี้

กองทุนสภาพคล่อง (พักเงินระยะสั้น)  เช่น TCMF, UIDPLUS เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการที่พักเงินระหว่างรอโอกาสลงทุน หรือมองหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากออมทรัพย์เล็กน้อย

กองทุนตราสารหนี้โลก (รายได้สม่ำเสมอ)  เช่น UGIS ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก กระจายความเสี่ยง และให้โอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ในประเทศ

กองทุนหุ้นเติบโตและเทคโนโลยี (โอกาสระยะกลาง-ยาว) เช่น UGFT, UUSA, UUSTECH และ UGD เน้นหุ้นคุณภาพและหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่ยังมีศักยภาพสูงจากกระแส AI และนวัตกรรม

กองทุนสินทรัพย์ทางเลือก (เพิ่มความหลากหลาย)  เช่น UINFRA (โครงสร้างพื้นฐานโลก) และ UOBSG-H (ทองคำ) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันความผันผวนของตลาดหุ้นและเงินเฟ้อ

กองทุนเงินดอลลาร์และ Private Assets (กระจายความเสี่ยงเพิ่มเติม) เช่น USDAILY, Term Fund และกองทุนสินทรัพย์ส่วนตัว ช่วยสร้างสมดุลพอร์ต และลดความเสี่ยงจากการลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง

ManassaweeWriterManassawee
นักข่าวการเงิน ที่มีความสนใจเรื่องการลงทุนและการตลาด อยากสื่อสารให้ทุกเรื่องการเงินเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง