ในยุคที่การจ่ายเงินไม่ได้จำกัดแค่บัตรเครดิตหรือเดบิตอีกต่อไป ผู้บริโภคสามารถโอนเงินผ่านมือถือ ชำระแบบเรียลไทม์ หรือใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ แต่กำลังพลิกโฉมระบบการเงินทั่วโลก ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาฐานลูกค้าและขยายโอกาสทางธุรกิจ
Visa หนึ่งในผู้นำด้านการชำระเงิน เดินหน้าปรับกลยุทธ์ ไม่ใช่เพียงให้บริการบัตรอีกต่อไป แต่ขยายสู่ทุกช่องทางการชำระเงิน ตั้งแต่บัญชีต่อบัญชี การโอนเงินแบบเรียลไทม์ กระเป๋าเงินดิจิทัล ไปจนถึงธุรกรรม B2B และ cross-border
รวมทั้งใช้ AI และ Machine Learning มาตรวจจับการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์และปรับปรุงบริการหลังบ้านให้ปลอดภัยและแม่นยำมากขึ้น เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของระบบการเงินยุคดิจิทัล

TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘แอ็กเซล บอย-โมลเลอร์’ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านงานบริการเพิ่มมูลค่า ของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้มาเล่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ Visa ให้ฟัง
[ ขยายการชำระเงินให้ครอบคลุมมากกว่าอยู่แค่ในบัตร ]
‘แอ็กเซล บอย-โมลเลอร์’ เล่าให้ฟังว่า เวลาเราพูดถึง Visa ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลายคนมักเป็นบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่พกอยู่ในกระเป๋าสตางค์ แต่ในความเป็นจริง Visa กำลังเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่ เพราะพฤติกรรมการใช้เงินของผู้คนไม่ได้ยึดติดกับบัตรอีกต่อไปแล้ว
ทำให้ Visa ต้องปรับตัวและมุ่งสู่การเป็นผู้เชื่อมต่อทุกการชำระเงินแทน หรือพูดง่ายๆ ว่าต้องครอบคลุมมากขึ้น จึงขยายธุรกิจให้ครอบคลุมการโอนเงินแบบเรียลไทม์ (Real-Time Payments: RTP), การโอนบัญชีต่อบัญชี (Account-to-Account: A2A), และการชำระเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล (Mobile Wallets)
นอกจากการชำระเงินทั่วไป Visa ยังบุกไปสู่ธุรกรรมที่ใหญ่กว่า เช่น B2B payment, cross-border transfer และการจ่ายเงินจากรัฐสู่ประชาชน พร้อมพัฒนาบริการเสริมอย่างการยืนยันตัวตนดิจิทัล และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธนาคารและร้านค้า ตัวอย่างเช่น ระบบ Visa Direct ที่ช่วยโอนเงินเข้าบัญชีผู้รับโดยตรงในไม่กี่วินาที หรือ Visa B2B Connect ที่ออกแบบมาให้บริษัทโอนเงินข้ามประเทศได้ปลอดภัยและมีต้นทุนต่ำกว่าเดิม
[ ระบบใหม่ของ VISA ช่วยตรวจการโกงได้ 54% ]
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งสิ่งที่ตามมาพร้อมกับการชำระเงินที่หลากหลายคือความเสี่ยง การฉ้อโกงที่เคยเกิดบนเครือข่ายบัตร เริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่ระบบโอนเงินแบบเรียลไทม์มากขึ้น เช่น Romance Scam หรือ Investment Scam ที่อาศัยการโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรง
‘แอ็กเซล บอย-โมลเลอร์’ บอกว่า เพื่อรับมือ Visa พัฒนา Visa Protect for A2A ระบบที่ใช้ AI และ Machine Learning ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติแบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น หากบัญชีผู้รับเพิ่งเปิดใหม่ แต่กลับมีเงินก้อนใหญ่ไหลเข้ามาจากหลายประเทศในเวลาอันสั้น ระบบจะให้คะแนนความเสี่ยง แก่ธุรกรรมนั้นทันที โดยไม่ตัดสินใจแทนธนาคาร แต่ส่งข้อมูลให้สถาบันการเงินประเมินว่าจะปล่อยผ่าน ระงับ หรือเตือนผู้ใช้งาน
ซึ่งข้อมูลจากการทดสอบในสหราชอาณาจักรพบว่า ระบบสามารถตรวจจับการฉ้อโกงที่ธนาคารพลาดไปได้ถึง 54% ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสำคัญในโลกที่การโอนเงินเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
[ Visa นำ AI มาใช้ช่วยระบบการเงินหลังบ้าน ]
นอกจากนี้ Visa ไม่ได้พัฒนา AI แค่เรื่องความปลอดภัย แต่กระจายการใช้ในหลายส่วนตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การให้บริการ ไปจนถึงการทำธุรกรรมให้ดีขึ้น เช่น มีฐานข้อมูลมหาศาล ด้วยธุรกรรมกว่า 300,000 ล้านครั้งต่อปี และบัตรกว่า 4.7 พันล้านใบทั่วโลก ทำให้ Visa มีชุดข้อมูลที่ใหญ่และหลากหลายที่สุดชุดหนึ่งของโลก
พัฒนาVisa Advanced Authorization (VAA) ระบบที่ใช้มาตั้งแต่ยุค 90 เพื่อตรวจสอบธุรกรรมแบบเรียลไทม์จากคุณลักษณะกว่า 400 รายการ เช่น เวลา พฤติกรรมการซื้อ ประเภทสินค้า หรือสถานที่ ระบบจะให้คะแนนความเสี่ยงในทันที ซึ่งช่วยให้ธนาคารตัดสินใจอนุมัติหรือปฏิเสธธุรกรรม
และ Agnostic AI Commerce แนวคิดใหม่ที่ไม่ผูกกับเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่ง แต่ทำงานได้กับทุกการชำระเงิน เป้าหมายคือการทำให้ธุรกรรมปลอดภัยขึ้น (ด้วย Tokenization และ Authentication), มีเสถียรภาพ และยังสามารถ “ปรับแต่งเฉพาะบุคคล” ได้ หากผู้ใช้ยินยอมให้ระบบเข้าถึงข้อมูล
“Visa มีข้อมูลจำนวนมหาศาลจาก บัตรชำระเงินกว่า 4,700 ล้านใบ และ ธุรกรรมกว่า 3 แสนล้านรายการ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการฝึกฝนโมเดล AI และ Machine Learning ทำให้ Visa มีข้อมูลมากกว่าเครือข่ายการชำระเงินอื่นๆ และสามารถเรียนรู้และปรับตัวตามรูปแบบการฉ้อโกงที่เปลี่ยนแปลงไป” แอ็กเซล บอย-โมลเลอร์ กล่าว










