รีวิว WandaVision ถอดรหัสการข้ามผ่านความสูญเสียในซิตคอมเรื่องแรกของมาร์เวล

ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution
บทความนี้เปิดเผยภาพและเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์
เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อวันด้าและวิสชั่นที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเวสต์วิวเพื่อสร้างครอบครัวแสนสมบูรณ์แบบ แต่มีหลายอย่างที่ชวนสงสัยว่าทั้งหมดอาจะเป็นแค่ภาพลวงตา และผู้ชมต้องคอยติดตามว่าทั้งสองมาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร โดยเหตุการณ์นี้เกิดหลังจากที่ทุกคนกลับมาจาก ‘The Blip’ หรือเหตุการณ์ที่คนหายไปครึ่งโลกตอนที่ธานอสดีดนิ้วใน Avengers: End Game
WandaVision เป็นซีรีส์แนวซิตคอมที่ฉีกจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ ของมาร์เวล ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องแบบซิตคอมที่ย้อนยุค ไล่ตั้งแต่ยุค 1950s มาจนถึงปัจจุบัน เปิดเรื่องมาด้วยการย้ายเข้าบ้านใหม่และการพยายามปรับตัวให้ดูเป็นคน ‘ปกติ’ ของทั้งสองคน จากนั้นเรื่องจะค่อยๆ เฉลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละคร และทำไม่ทุกตอนโลกของวันด้าและวิสชั่นถึงเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างรวดเร็ว 1-3 ตอนแรกคนดูอาจจะงงกับสไตล์ที่แตกต่างและเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราเคยดูกันมา แต่ในตอนท้าย เมื่อเรื่องราวคลี่คลายทุกอย่างเราจะพบว่ามีความสนุกอย่างที่คุ้นเคยผสมกับรสชาติแปลกใหม่ได้อย่างลงตัว
แม้เรื่องจะจั่วหัวว่าจะเป็นตลกสไตล์ซิตคอม แต่เมื่อดูให้ลึกเข้าไปเราจะเจอกับเนื้อหาที่ลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยความหมายซ่อนอยู่ ตั้งแต่โครงเรื่องที่ไหลตามตามทฤษฏี 5 Stages of Grief หรือ 5 ระยะของการข้ามผ่านการสูญเสีย ไปกับวันด้าหลังจากที่ต้องเสียวิสชั่นไปโดยที่ไม่ได้แม้แต่จัดงานศพให้

ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution
- ระยะที่ 1: ปฏิเสธ (Denial)
ในตอนที่ 1-2 ไปจนถึงท้ายๆ ตอนที่ 3 เราจะเห็นการปฏิเสธความจริงของวันด้า ที่สะท้อนผ่านการสร้างโลกในอุดมคติที่ทุกวันจะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งในรูปแบบของซิตคอม เพราะตลอดชีวิตของวันด้า ซิตคอมเป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมใจในวันที่เธออ่อนแอ วันด้าจึงปฏิเสธความจริงทุกอย่างแล้วฝังตัวเองเข้าไปในโลกมายาที่เธอสร้างขึ้น และมองข้ามทุกอย่างที่จะเรียกเธอกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง แม้ความเป็นจริงและความเศร้าจะกลับมาหลอกหลอนเธอบ่อยขึ้นทุกที
- ระยะที่ 2: โกรธ (Anger)
ในท้ายตอนที่ 3 วันด้าเข้าสู่ระยะที่สองคือความโกรธ และอยู่ในระยะนี้ในตอนที่ 4-5 เธอโกรธเจอรัลดีน หรือความจริงคือผู้กองโมนิก้าที่พูดถึงความเป็นจริงขึ้นมาจนเธอเตะโมนิก้าออกไปนอกเวสต์วิว จากนั้นเมื่อวิสชั่นรู้ความจริงแต่ไม่เห็นด้วยกับเธอพวกเขาก็ทะเลาะกัน แต่ในอารมณ์โกรธของวันด้ามีการยอมรับความจริงอยู่ด้วยว่าเธอเป็นคนสร้างโลกมายานี้ขึ้นมา

ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution
- ระยะที่ 3: ต่อรอง (Bargaining)
เป็นระยะที่คนมักจะรู้สึกอ่อนแอและอยากรู้สึกเหมือนควบคุมสถานการณ์หรือเปลี่ยนผลลัพธ์ของเหตุการณ์ได้ เหมือนกับที่วันด้ารู้อยู่ลึกๆ ว่าการใช้พลังควบคุมคนทั้งเมืองนั้นไม่ดี แต่ก็คิดว่ามันไม่เป็นไรเพื่อต่อรองยืดเวลาที่จะอยู่ในโลกนี้ต่อไปเหมือนในตอนที่ 6
- ระยะที่ 4: ซึมเศร้า (Depression)
ในตอนที่ 7 เราจะได้เห็นระยะซึมเศร้าเมื่อตอนที่วันด้ารู้ตัวว่าไม่มีทางที่เธอจะทำให้วิสชั่นในโลกที่เธอสร้างขึ้นแบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว และการได้กลับไปมองเหตุการณ์ในอดีตยิ่งทำให้เธอเศร้ากับการที่วิสชั่นจากไปแบบไม่มีวันหวนคือเหมือนกับครอบครัวของเธอ
- ระยะที่ 5: ยอมรับ (Acceptance)
สุดท้ายในตอนที่ 9 วันด้านก็ยอมรับความจริงและปล่อยวิสชั่นและลูกของเธอสองคนให้หายไป แต่ระยะการยอมรับไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นตอนจบที่แสนสุขหรือการไปต่อได้โดยไม่คิดถึงเรื่องเก่าๆ อีก เหมือนกับวันด้าที่ยังคงได้ยินเสียงของลูกร้องให้ช่วย หรือยังแอบหวังเล็กๆ ที่จะได้เจอวิสชั่นอีกตอนบอกลา

ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution
WandaVision จึงไม่ใช่เรื่องที่จิตนาการนอกกรอบจนเลอะเทอะ แต่สอนประสานไปกับเส้นเรื่องหลักของจักรวาลมาร์เวลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ WandaVision ก็ยังคงเสน่ห์ในการใส่ Easter Egg ในรายละเอียดไว้ เช่น ในของประกอบฉาก โฆษณาปลอม ไตเติ้ลและเนื้อเพลง ที่สะท้อนความรู้สึกของวันด้า ถูกใช้เป็นลางบอกเหตุ หรือเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี

ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution
ความพิเศษอีกอย่างของ WandaVision อยู่ที่รายละเอียดของการย้อนยุคด้วยที่ย้อนทุกอย่าง ตั้งแต่สัดส่วนภาพที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยตั้งแต่ยุคจอขาวดำไปจนถึงภาพสี ไม่ว่าจะเป็นฉาก เสื้อผ้า หน้าผม เพลงและภาพช่วงไตเติ้ล วิธีการเล่าเรื่อง หรือวิธีการเล่น ก็แตกต่างกันไปในแต่ละตอน และอ้างอิงจากซิตคอมดังจองสมัยนั้นๆ อาทิ ของยุค ‘50-60s ในตอนที่ 1-2 จาก ‘The Dick Van Dyke Show’, ‘Love Lucy’ และ ‘Bewitched’ เป็นต้น หรือในตอนที่ 7 ที่มีตัวละครพูดกับกล้องก็อ้างอิงถึงสไตล์แบบเดียวกันกับที่เราอาจเคยดู ‘Modern Family’ สิ่งเหล่านี้ทำให้ WandaVision ดูโดดเด่นและแปลกตาจากซีรีส์อื่นๆ ของมาร์เวล แต่หากใครยังอยากดูฉากแอคชั่นและความทันสมัยต่าง ๆ ก็ยังคงมีให้ดูอยู่หลังจากเรื่องตัดกลับมาเล่าเรื่องโลกปัจจุบันที่ขนานกันอยู่ในตอนที่ 4

WandaVision จึงเป็นซีรีส์ที่เปิดแนวใหม่ให้กับตัวละครในจักรวาลมาร์เวล ให้เรารู้ว่าตัวละครของมาร์เวลจะไม่ต้องติดอยู่กับแนวแอคชั่นฮีโร่อีกต่อไป แต่จะเป็นอะไรก็ได้ ยิ่งมีข่าวว่า She-Hulk จะมาแนว Legal-Comedy ตลกกันแบบขึ้นโรงขึ้นศาล ยิ่งทำให้ต้องรอดูว่าแนวของซีรีส์ของมาร์เวลจะขยายไปไกลอีกแค่ไหน
ภาพจาก :: website Disney Media and entertainment distribution










