ในวันที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกมองหา ‘ประสบการณ์’ มากขึ้น หนึ่งในจุดแข็งของประเทศไทย คือการเป็นปลายทางด้าน Wellness ระดับโลก โดยเฉพาะ “นวดไทย” ที่วันนี้ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียงบริการผ่อนคลาย แต่กลายเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกปักหมุดมาเยือนไทย ท่ามกลางกระแสการดูแลสุขภาพเชิงคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อ
สะท้อนได้จากตลาดนวดและสปาทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศไทยอยู่ที่ราว 35,000 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่องทุกปี จากแรงหนุนของการท่องเที่ยว ชื่อเสียงด้านฝีมือการนวด และราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเมื่อเทียบกับหลายประเทศ
โอกาสในตลาดนี้เอง ทำให้ ‘พลอย-พอลลี เฮสันต์’ ตัดสินใจก้าวจากธุรกิจเครื่องดื่มอย่าง JIAN CHA (เจี้ยนชา) มาสู่สนาม Wellness อย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว ‘ใจฉันสปา’ (JAI CHAN SPA) ร้านสปาและนวดไทยที่ตั้งใจวางโมเดลให้สามารถขยายได้ในระดับโลก
สำหรับจุดเริ่มต้นของใจฉันสปา ‘พลอย-พอลลี’ เล่าว่า ไม่ได้มาจากการตามเทรนด์ แต่เกิดจากความชอบส่วนตัวของผู้ก่อตั้งที่หลงใหลการนวดไทยเพื่อการผ่อนคลาย ควบคู่กับการมองเห็น ‘ช่องว่าง’ สำคัญในตลาด
“ร้านนวดมีอยู่ทั่วโลก แต่ยังไม่มีใครสร้างแบรนด์นวดไทยที่ขยายด้วยระบบแฟรนไชส์ และใช้มาตรฐานเดียวกันได้จริง” พลอย-พอลลี กล่าว
ใจฉันสปาจึงถูกออกแบบให้แตกต่าง ตั้งแต่คอนเซปต์ร้าน ไปจนถึงบริการ โดยชู เตียงสระผม ASMR ที่กำลังได้รับความนิยม ผสานเข้ากับการนวดไทยแบบดั้งเดิม พร้อมต่อยอดด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยภายใต้แบรนด์เดียวกัน
[ ประเดิมสาขาแรกกลางสยาม ]
‘ใจฉันสปา’ เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ในเดือนมิถุนายน 2568 และในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ภาพของกลุ่มลูกค้าก็ชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยกว่า 80% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่อีก 20% เป็นลูกค้าคนไทย ที่กลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง
‘พลอย-พอลลี’ เล่าว่า ลูกค้าหลักมาจากกลุ่มจีน ตะวันออกกลาง และดูไบ ซึ่งคุ้นเคยกับการนวดไทยอยู่แล้ว แต่ในต่างประเทศมีราคาค่อนข้างสูง เมื่อได้มาเยือนประเทศไทย ทั้งอาหาร บริการ Wellness และนวด จึงกลายเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดไว้ทันที
โครงสร้างบริการภายในร้าน แบ่งเป็น เตียงสระผม ASMR 70% และ เตียงนวดไทย 30% โปรแกรมครอบคลุมตั้งแต่ สระผม นวดหน้า ขัดผิว นวดไทย นวดอโรม่า นวดลูกประคบ ไปจนถึง อบซาวน่าสุ่มไก่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของไทย
[ สมุนไพรไทย = หัวใจของโปรดักต์ ]
อีกหนึ่งจุดแข็งของใจฉันสปา คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้านทั้งหมดภายใต้แบรนด์ ‘JAI CHAN ’ ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวด โฟมล้างหน้า สครับ มาสก์หน้า และครีมนวดหน้า โดยเลือกใช้วัตถุดิบจากสมุนไพรไทย เช่น ขมิ้น ดินสอพอง ข้าวหอม และข้าวโอ๊ต
แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้แบรนด์ แต่ยังเปิดทางให้ต่อยอดสู่การขายออนไลน์ โมเดิร์นเทรด หรือแม้แต่แพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Amazon ในสหรัฐฯ ในอนาคต โดยตั้งใจวางราคาให้เข้าถึงได้ ไม่ใช่สปาระดับหรูที่จับต้องยาก
[ ปีหน้าลุยแฟรนไชส์ 15–20 สาขา ]
หลังเปิดดำเนินการมากว่า 6 เดือน ใจฉันสปาได้รับการตอบรับอย่างดี และเริ่มเห็นภาพของโมเดลธุรกิจที่ชัดเจน ปีหน้าวางแผนขยายในประเทศไทย 15–20 สาขา ผ่านระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด โดยมีขนาดร้านให้เลือกตั้งแต่ S, M, L และ XL
ปัจจุบันมีผู้สนใจติดต่อเข้ามาแล้ว 2–3 ราย โดยจะเริ่มจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ก่อนขยายสู่ต่างจังหวัดในเฟสถัดไป
ส่วนตลาดต่างประเทศ ใจฉันสปาอาจเริ่มปักหมุดในช่วงปลายปี 2569 โดยเลือกประเทศที่แบรนด์ ‘JIAN CHA’ มีฐานอยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา และในระยะ 5–7 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าขยายให้ครบ 1,000 สาขา ทั้งในรูปแบบร้านในห้างและร้านสแตนด์อโลน
การมานวดหรือมาทำสปา อยากให้มองว่าเป็นการให้รางวัลตัวเองเดือนละครั้ง
“เราอยากเป็นร้านนวดที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย สะอาด มีกลิ่นที่ดี คอนเซปต์ชัด โปรดักต์ดี และทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายจริง ๆ อย่างน้อยเดือนละครั้ง ให้การนวด 1 ชั่วโมง เป็นรางวัลเล็ก ๆ ให้ตัวเอง” พลอย-พอลลี กล่าว
สำหรับแผนขายโปรดักต์ แบรนด์ยังโฟกัสใช้ในร้านเป็นหลักก่อน และจะทยอยนำออกมาจำหน่ายเชิงพาณิชย์เมื่อสาขาเพิ่มขึ้น จากร้านชา สู่ร้านสปา ใจฉันสปากำลังสะท้อนภาพใหม่ของธุรกิจไทย ที่ไม่เพียงขายบริการ แต่ขาย ประสบการณ์ความเป็นไทย ในภาษาที่คนทั้งโลกเข้าใจ
และ ‘ใจฉันสปา’ อาจกลายเป็นต้นแบบของร้านนวดและสปายุคใหม่ที่ยกระดับคุณภาพและประสบการณ์ ให้การนวดไทยถูกมองผ่านมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น










