รู้หรือไม่ หลายประเทศเริ่มใช้ ‘ค่าธรรมเนียมสีเขียว’ (green fee) เพื่อผลักดันการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแล้วนะ มันอาจทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสักนิด หรืออาจทำให้คุณเศร้าใจ (ที่ต้องเสียเงินเพิ่ม) สักหน่อย แต่ค่าธรรมเนียมเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออนุรักษ์ และต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศในสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณหลงรัก
ค่าธรรมเนียมสีเขียว คือการเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน ซึ่งมักรวมอยู่ในค่าที่พัก ค่าธรรมเนียมเข้าถึงแหล่งธรรมชาติ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ อันขึ้นอยู่กับโมเดลของแต่ละประเทศ เป้าหมายก็เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างยั่งยืน
โดยค่าธรรมเนียมเหล่านี้ไม่เหมือนกับภาษีทั่วไป กล่าวคือภาษีนักท่องเที่ยวหรือภาษีที่พักทั่วไปมักถูกใช้ในงบประมาณภาพรวมของรัฐ แต่ค่าธรรมเนียมสีเขียวสำหรับอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจะถูกใช้เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จากการเดินทางและการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
ทั้งนี้ เริ่มมีข้อเสนอด้วยว่า มาตรการเก็บค่าธรรมเนียมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพื่อรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อาจเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลรักษาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ล่าสุด รัฐฮาวายเพิ่งออกกฎหมายเก็บ green fee หรือภาษีนักท่องเที่ยว อันเป็นภาษีนักท่องเที่ยวแรกของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงกับวิกฤตสภาพอากาศอย่างชัดเจน โดยทำการเพิ่มภาษีที่พัก 0.75% จากภาษีเดิม และจะเริ่มต้นเก็บตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป
คาดกันว่าค่าธรรมเนียมนี้จะสร้างรายได้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และถ้ายังจำกันได้ รัฐฮาวายเพิ่งเผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่อปี 2023 อันเกิดจากภาวะแห้งแล้งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างร้ายแรง ยังไม่รวมว่าต้องเผชิญกับพายุเฮอริเคนอีกด้วย พื้นที่นี้จึงเปราะบาง และได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่น้อย
ดังนั้น ตามเป้าประสงค์แล้ว เงินเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่า ฟื้นฟูแนวปะการัง ตลอดจนเตรียมตั้งรับปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พูดง่ายๆ คือนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั่นแหละ
อยากชื่นชมธรรมชาติสวยๆ ก็ต้องร่วมจ่าย
“นักท่องเที่ยวมาเยือนฮาวาย เพื่อชมความงดงามทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะน้ำตก แนวปะการัง และเส้นทางป่าไม้ แต่ทรัพยากรเหล่านี้กำลังย่ำแย่ การขอให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมสนับสนุนการดูแลธรรมชาติเหล่านี้ จึงไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ต่างหาก”
นี่คือเสียงจากไกด์เดินป่าในรัฐฮาวาย ผู้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี ไม่ใช่แค่รัฐฮาวาย วิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรง ทำให้แหล่งท่องเที่ยวอื่นทั่วโลกเริ่มทบทวนวิธีจัดเก็บรายได้จากการท่องเที่ยวใหม่ กรีซเองก็เช่นกัน
เดือนมกราคม ปี 2024 กรีซยกเลิกภาษีที่พักรูปแบบเดิม และแทนที่ด้วยค่าธรรมเนียมฟื้นฟูวิกฤตสภาพอากาศ (climate crisis resilience fee) นักท่องเที่ยวต้องจ่ายคืนละ 0.50-10 ยูโร (ประมาณ 18-370 บาท) ขึ้นอยู่กับระดับของโรงแรมและฤดูกาล ซึ่งรัฐบาลกรีซคาดว่าจะสามารถเก็บเงินได้ 400 ล้านยูโรต่อปี และจะนำเงินไปลงทุนสำหรับการป้องกันภัยพิบัติ และการฟื้นฟูระบบนิเวศ
บาหลีเองก็เก็บนะ โดยเริ่มเก็บค่าธรรมเนียม 150,000 รูเปียห์ (ประมาณ 285 บาท) จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2024 ภายใต้วัตถุประสงค์จะนำรายได้ไปใช้ปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
เกาะมัลดีฟส์ก็เก็บภาษีสิ่งแวดล้อม โดยจัดเก็บผ่านค่าที่พักอย่างรีสอร์ต โรงแรม หรือเรือตั้งแต่ปี 2015 และขึ้นภาษีเป็นสองเท่าตั้งแต่ต้นปี 2025 ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นิวซีแลนด์เองก็เก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติชื่อดัง เช่น อุทยานอาโอรากิ/เมาท์คุก จะต้องเสียค่าเข้าชม 20-40 ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (363-727 บาท) อันเป็นนโยบายเพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่
ข้อกังวลสำคัญคือ เงินเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อสิ่งแวดล้อมจริงหรือเปล่า บางประเทศจึงแสดงความโปร่งใส ผ่านการเผยแพร่ข้อมูล เช่น มัลดีฟส์เผยแพร่รายงานรายเดือน ที่ระบุรายละเอียดชัดเจนว่าเงินภาษีถูกใช้สำหรับการปกป้องชายฝั่ง บำบัดของเสีย และการเข้าถึงแหล่งน้ำ เป็นต้น
แน่นอน ค่าธรรมเนียมสีเขียวทำให้ค่าใช้จ่ายของทริปเพิ่มขึ้น แต่มันก็เป็นไม่กี่ช่องทาง ที่ทำให้การเดินทางของเรามีความหมายมากกว่าเดิม เพราะเงินที่จ่ายนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่เปลี่ยนเป็นโอกาสให้ได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อธรรมชาติ และชุมชนท้องถิ่นอย่างแท้จริง










