‘พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองปี 2567ภาพใหญ่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น โดยคาดว่ามีโอกาสทำราคาสูงสุดใหม่หรือนิวไฮที่ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากดอกเบี้ยที่จะกลับทิศเป็นขาลง ทำให้นักลงทุนเริ่มโยกย้ายเงินเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ราคาทองคำยังคงผันผวน sideway down เนื่องจากยังเป็นช่วงสุญญากาศ เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงไม่มีการดำเนินการปรับดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะอยู่ในภาวะนี้ไปจนถึงช่วงเดือนเมษายน จึงจะเริ่มประเมินท่าทีของเฟดใหม่อีกครั้ง
สำหรับประเด็นที่จะส่งผลต่อภาพรวมของราคาทองคำปีนี้มาจากเรื่องของเสถียรภาพการเงิน เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ค่อยดี สงครามต่างๆ ดอลลาร์ที่แข็งค่า รวมถึงดอกเบี้ยที่อาจจะทรงตัวในระดับสูงนาน และการเลือกตั้งของสหรัฐ อินเดียและไต้หวัน เหล่านี้จะมีผลต่อการขึ้นลงของราคาทองคำ
โดยประเมินทิศทางราคาทองคำแนวรับแรกอยู่ที่ 1,970 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากหลุดลงมามีแนวรับถัดไปที่ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,880 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนแนวต้านประเมินไว้ที่ 2,060 – 2,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านแนวต้านแรกไปได้มีโอกาสไปถึง 2,250 – 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้ ซึ่งคาดว่ามีโอกาสได้เห็นในช่วงครึ่งปีหลัง หรือหลังจากมีการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย
ส่วนราคาทองคำภายในประเทศ หากราคาทองคำโลกปรับขึ้น ในขณะที่ค่าเงินบาทอ่อน ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำในประเทศจะแพงขึ้น แต่หากเงินบาทแข็งค่า ราคาทองคำน่าจะทรงตัวเท่าเดิม
ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทค่อนข้างอ่อนค่า มีสาเหตุมาจากเงินหยวนที่อ่อนค่าและดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น แต่ประเมินราคาทองคำในประเทศปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นไปแตะ 40,000 บาทต่อบาททองคำ
ทั้งนี้ สำหรับนักลงทุนสายเทรดหรือนักลงทุนระยะสั้น แนะนำให้ซื้อมาขายไปเมื่อถึงราคาเป้าหมายไม่จำเป็นต้องถือนานนัก โดยให้เป้าไว้ที่ 2,040 – 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนนักลงทุนระยะยาวเน้นถัวเฉลี่ยทยอยสะสมได้










