ในประเทศญี่ปุ่นมีการฆ่าวาฬมิงค์ที่กำลังตั้งท้องกว่า 122 ตัว ที่เคยอ้างว่าเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นักอนุรักษ์ประณาม เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจมาก และไม่จำเป็นที่ต้องฆ่า
รายงานจากคณะกรรมการการล่าวาฬระหว่างประเทศ (International Whaling Commission: IWC) เปิดเผยว่า การเดินทางล่าวาฬมิงค์เป็นระยะเวลา 4 เดือน ที่สิ้นสุดเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ฆ่าวาฬมิงค์จากการถูกล่าไปแล้วกว่า 333 ตัว ในจำนวนนี้มี 122 ตัวที่กำลังตั้งท้อง และมีอีกหลายสิบตัวที่ยังไม่โตเต็มวัย
กลุ่มอนุรักษ์ด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ระบุว่า เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ สะท้อนถึงเรื่องน่าเศร้าในความโหดร้ายของการล่าวาฬของญี่ปุ่น
อเล็กเซีย เวลล์บีเลิฟ ผู้จัดการอาวุโสของกลุ่มฯ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการล่าวาฬเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างมากและเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสำรวจทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องฆ่า
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นยังคงดำเนินการตามคำสั่งห้ามล่าวาฬตั้งแต่ปี 2529 หลังจากเข้าร่วมคณะกรรมการล่าวาฬระหว่างประเทศ แต่กรุงโตเกียวใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ และยังคงล่าวาฬต่อไป โดยใช้เหตุผลเพื่อ “วิจัยทางวิทยาศาสตร์” และอ้างว่ากำลังพยายามพิสูจน์ว่าจำนวนประชากรวาฬ ยังคงมีปริมาณที่มากพอที่จะกลับมาล่าวาฬเพื่อการค้า ที่เนื้อวาฬอาจกลายมาอยู่บนโต๊ะอาหารได้อีกครั้ง
ญี่ปุ่นนิยมล่าวาฬเพื่อเป็นอาหารมาหลายศตวรรษ เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศมีความยากจน แต่การบริโภควาฬลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นบางรายบอกว่า แทบจะไม่หรือไม่เคยทานเนื้อวาฬเป็นอาหารเลย
ในปี 2557 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาในกรุงโตเกียวหยุดการล่าวาฬในมหาสมุทรแอนตาร์กติก เนื่องจากใบอนุญาตไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ญี่ปุ่นจึงยกเลิกการล่าในถัดมา แต่ปรากฎว่าในปี 2559 วาฬมิงค์ยังคงถูกฆ่าไปกว่า 300 ตัว
