“วิธีการวางผังเมือง การรับมือกับปัญหา และการใช้ข้อดีของน้ำให้ได้มากที่สุด เป็นเรื่องสากล” น้ำเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อมาอยู่ร่วมในบริบท ‘เมือง’ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ทำเลเมืองใหญ่ต่างตั้งอยู่ ‘ปากแม่น้ำ’ เช่นที่กรุงเทพฯ
ดังนั้น ขาดน้ำไม่ได้ เลี่ยงน้ำไม่ไหว ก็ต้องอยู่ด้วยอย่างดีที่สุด อาจเป็นข้อสรุปตั้งต้นของ รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีหมวกอีกใบเป็นนายกสมาคมนักผังเมืองไทย
รายการ TOMORROW จากสำนักข่าว TODAY ตอนนี้ ชวนทุกคนเข้าใจ ‘น้ำ’ ของกรุงเทพฯ ที่ถึงคราวน้ำมาทีไร ผู้คนต่างอยากหนีทุกที แต่จะเป็นเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ รวมถึงหาคำตอบอีกครั้งว่า ปี 2025 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ได้อีกจริงไหม
‘ปากแม่น้ำ’ ทำเลฮิตเมืองใหญ่ทั่วโลก
เริ่มต้น อ.พนิต เท้าความเพื่อตอบข้อสงสัยอย่างแรกที่ว่า กรุงเทพฯ น้ำเยอะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลกตั้งแต่ครั้งอดีต อย่างที่ อียิปต์ ดินแดนไทกริส – ยูเฟรติส เมโสโปเตเมีย หรือภาคพื้นยุโรป กรีก-โรมัน ต่างก็อยู่รอบทะเเมดิเตอร์เรเนียน นั่นคือพิ้นที่ที่ถูกนิยามว่า ‘ปากแม่น้ำ’
กรุงเทพฯ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ก็เลือกที่จะตั้งเมืองบนพื้นที่ซึ่ง อ.พนิต อธิบายว่า ที่ดินยังไม่แน่น พื้นดินยังไม่งอกเต็มที่ เพราะมองว่า เหมาะสมของการตั้งถิ่นฐานมากที่สุด โดยเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างที่ไม่ไกลจากเรา
“เราถึงได้เห็นการตั้งถิ่นฐานชุมชนเมืองหนาแน่น บริเวณปากแม่น้ำ มันมีทรัยากรธรรมชาติครบทั้ง 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย น้ำแต่ละแบบ มีพืชพันธ์ุหรือสัตว์ ที่ใช้น้ำต่างกัน”
เช่นที่รู้กันว่าสังคมของมนุษย์ ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน ดังนั้นการอยู่ปากแม่น้ำ ก็จะทำหน้าที่เป็นเกตเวย์ ค้าขายได้ แถมยังแลกเปลี่ยนความรู้กัน จึงเป็นที่ตั้งของบรรดาชุมชนที่มีความก้าวหน้า
“ไม่อยากให้มองว่าบริเวณนี้มีแต่ปัญหา บริเวณนี้แหละคือโอกาสพัฒนา ไม่อย่างนั้น (เมือง)ทั้งโลกคงไม่ตั้งตรงนี้หรอก แต่ไม่ได้มีอะไรได้มาแค่ทางบวก”
สิ่งที่ตามมาคือ ‘ปัญหาน้ำท่วม’ อ.พนิต อธิบายว่า พื้นที่ปากแม่น้ำต้องรับมือกับ 3 น้ำ คือ น้ำเหนือ น้ำในพื้นที่ และน้ำหนุน
น้ำเหนือ คือ น้ำที่ไหลบนผิวดิน ทั้งจากฝนตก และน้ำที่ไหลเหนือลงใต้ ต่อมา น้ำในพื้นที่ จากฝนซึ่งตกในพื้นที่ ซึ่งบริเวณปากแม่น้ำ มักฝนตกมากกว่าที่อื่นเสมอ และท้ายสุด คือ น้ำทะเลหนุน นี่เองทำให้เมืองขนาดใหญ่ รวมถึงบ้านเรา ต่างใช้วิธีการกั้นน้ำผิวดินไม่ให้เข้ามาในพื้นที่ กรณีที่มีน้ำเยอะเกินไป เพราะจะต้องไม่ให้กิจกรรมในเมือง ได้รับผลกระทบจากสภาพลมฟ้าอากาศ เลยทำให้วิธีการวางผังเมือง การรับมือกับปัญหา และการใช้ข้อดีของน้ำให้ได้มากที่สุด นับเป็นเรื่องสากล เกิดขึ้นในทุกประเทศด้วยวิธีการต่างกันไป
“แยกน้ำจากนอกพื้นที่ไม่ให้เข้าเมือง แยกน้ำเหนือออกไปก่อน แล้วจัดการแค่น้ำในพื้นที่ ถึงได้เกิด ‘คันกั้นน้ำพระราชดำริ’” อ.พนิต เล่า
อ.พนิต เล่าว่า สำหรับกรุงเทพนั้น พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ที่เราเรียกว่า ‘Flood way’ ตะวันออก อยู่ในเขคคลองสามวา มีนบุรี ลาดกระบัง และบางส่วนของหนองจอก ซึ่งถูกวางไว้ให้เป็นพื้นที่รับน้ำตั้งแต่ต้น น้ำเหนือจะไหลลงทางนั้น ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนจะออกปากอ่าวไทย โดยที่ไม่เขาเขตเมือง
ทำไมเกาะเมืองถึงน้ำท่วมได้?
“พื้นที่รับน้ำรอบๆ หายไป ทุกรอบๆ กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า”
เมื่อประชากรในเขตเมืองเพิ่มขึ้น เมืองย่อมขยายตัวเป็นธรรมดา จนไปกระทบกับเส้นทางที่เคยถูกวางให้น้ำไหลผ่าน โดยเหตุการณ์ น้ำท่วมในปี 2554 ขยายให้เห็นปัญหาของการบังคับใช้ ‘ผังเมืองรวม กรุงเทพฯ’
“ข้อกำหนดในผังเมืองรวม ที่ไหนในโลก สำหรับพื้นที่ระบายน้ำ เขาไม่ให้จัดสรรที่ดิน เพื่อการอยู่อาศัย”
ทว่า ปี 2554 ผู้อำนวยการสำนักการวางผังและพัฒนาเมือง ที่เราคุ้นกันในชื่อ สำนักงานผังเมือง ต้องออกมาคลี่คลายของสงสัยของนักผังเมืองตอนนั้น ว่าเหตุผลหนึ่งที่น้ำไม่สามารถไหลลงพื้นที่รับน้ได้ เพราะมีบ้านจัดสรรกว่า 400 โครงการ ตั้งอยู่ในเขตดังกล่าว
“ไม่รู้ไปอยู่ได้ยังไง” อ.พนิต เล่า
ก่อนผู้ที่เกี่ยวข้องจะกลับมาตั้งหลัก และแก้ไข “พื้นที่มันหายไปแล้ว หายไปเท่าไหร่ รับน้ำได้เท่าไหร่ ก็เอาเครื่องกลไปช่วยจำนวนเท่านั้น ทั้งเครื่องสูบน้ำ ดันน้ำ” อ.พนิต ให้ความเห็นว่า ในมุมนึงก็ต้องหยุดการพัฒนาไปก่อน ความซับซ้อนถัดมา คือ น้ำหนุน ซึ่งปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวงรอบ 15 วัน
“มันจะเป็นปัญหา เมื่อน้ำเหนือลงมาพร้อมน้ำหนุนพอดี ถ้าน้ำเหนือลงมา เจอน้ำหนุนพอดีก็ออกไม่ได้ อออยู่อย่างนั้น ท่วมคาอยู่ จึงเกิดวิธีให้น้ำเหนือแผ่ออก ผ่านพื้นที่พักรอ” อ.พนิต อธิบายการจัดการที่ผ่านมา
‘กรุงเทพฯ’ เคยถูกวางแผนให้อยู่กับน้ำ
“น้ำฝนที่ตกลงมา 100 เม็ด ลงในพื้นที่ต่างกัน เป็นปัญหาต่างกันนะ” อ.พนิต กล่าวว่า ฝนที่ตกในป่าเขา น้ำก็ซึมลงใต้ดิน ลงแหล่งน้ำผิวดิน ส่วนหนึ่งระเหยย้อนกลับ ก่อนที่บางส่วนจะวิ่งอยู่บนพื้น ทว่า ในเมือง หลักการเช่นนี้ แทบจะกลับทิศกันเลย
อย่างที่มาตรฐานของสหรัฐฯ ในรัฐที่ยังมีพื้นที่ดินอยู่มาก พวกเขามีน้ำบนผิวดินที่ต้องจัดการราว 55% เลยตามมาด้วยข้อกำหนดต่างๆ ขณะที่ บริบทขอบไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ อ.พนิต เล่าว่า พื้นที่โล่งว่างในอาคารไม่น้อยกว่า 30% ทำลานจอดรถหมดแล้ว ตามข้อกำหนดของกฎหมาย ไม่มีพื้นที่ให้น้ำซึมลงดิน เพราะฉะนั้น เหลือน้ำที่ต้องจัดการเกิน 55% แน่ๆ
“ระบบระบายน้ำ ท่อต่างๆ ที่กรุงเทพฯ มีรับน้ำฝนได้แค่ 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง เท่านั้น ถ้าตกเกินนั้นรับไม่ไหว”
เราถึงได้เห็นภาพน้ำรอระบายในวันฝนตกหนัก สืบเนื่องจากสถิติตลอดปีมานี้ กรุงเทพฯ ฝนตกในอัตราสูงกว่านั้นมาก จึงต้องใช้องค์ความรู้เรื่องผังเมืองเข้าช่วย ทั้งใช้เครื่องกล สร้างระบบระบายน้ำ อุโมงค์ยักษ์ เป็นต้น ขณะเดียวกัน ก็ต้องทำให้น้ำวิ่งบนผิวดินในสัดส่วนที่ลดลง
อ.พนิต เล่าย้อนไปว่า กรุงเทพฯ ถูกวางแผนให้คนอยู่กับน้ำ ตั้งแต่ยังไม่มีกฎหมายผังเมืองเสียด้วยซ้ำไป ภาพสะท้อนหนึ่ง คือ การมีอยู่ของ ถนนสามเสน และถนนจรัญสนิทวงศ์
“ถนนสองเส้นนี้อยู่คีบเจ้าพระยา ฝั่งเหนือกับฝั่งธนฯ และวางตัวเป็นคันกั้นน้ำ ด้วยระดับของมันเอง”
นี่เองทำให้ครั้งอดีต พื้นที่ชุมชนที่อยู่ระหว่างถนนสองสายนี้ กับแม่น้ำเจ้าพระยาจะยกพื้นสูง อย่างชุมชนบ้านญวน รวมไปถึงตึกแรกของ รร. เซนต์คาเบรียล ก็ยกพื้นสูงเช่นกัน เพื่อให้อยู่กับน้ำที่แผ่ขึ้นมา แล้วถนนจะคอยบล็อกในหน้าฝน จนถึงวันที่วิถีของคนเปลี่ยนไป บ้านเป็นตึก มีรถจอด จึงตามมาด้วยเงื่อนไข “น้ำห้ามแผ่”
“เราจะอยู่กับน้ำรึเปล่า?” จึงกลายเป็นคำถามแรกที่ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองรายนี้ ชวนตั้งคำถามกันใหม่ เพราะแนวทางเดิมของเมือง ตั้งต้นให้คนอยู่กับน้ำได้ และน้ำต้องมีที่ไปอย่าวเหมาะสม
ยับยั้งเมืองโตไม่ได้ คนกรุงเทพฯ ต้องทำอย่างไร?
‘แนวคันกั้นน้ำ’ อาจเป็นตัวช่วยแรกๆ ในการวางแผนเรื่องที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ ตามคำแนะนำของ อ.พนิต อย่างไรเสีย ในการวางผังเมืองถูกคิดไว้อยู่แล้ว แต่หากมีเรื่องร้ายแรงกว่านั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็น ‘ปัญหาการบริหารจัดการ’ อย่างที่ปรากฏภาพน้ำท่วมสนามบินนานาชาติดอนเมือง ในปี 2554
“ถามว่าตรงไหนเสี่ยงน้ำท่วมสูง คือ มีนบุรี ครองสามวา ลาดกระบัง และหนองจาก ไม่ใช่พื้นที่นี้ไม่ดีนะ แต่ในเชิงการวางผัง ได้กำหนดเขาเอาไว้ ว่าเป็นพื้นที่ชนบท ทำเกษตรกรรม และเป็นพื้นนี่รับน้ำ น้ำมันต้องมีที่ไปไง”
ในขณะที่พื้นที่ฝั่งตะวันตกปลอดภัยมากกว่า ในเชิงภูมิประเทศ “สวนกับนาต่างกันอยู่แล้ว นาคือปล่อยให้น้ำท่วม เพราะเป็นที่ต่ำ น้ำท่วม เพาะปลูกบนที่ดินขนาดใหญ่ แต่ขนาดของสวนเล็กกว่าและต้องไม่ท่วม ฉะนั้นที่ดินฝั่งธนสูงกว่า”
อ.พนิต อธิบายว่า ฝั่งตะวันออก แม่น้ำที่ใกล้เจ้าพระยามากที่สุด คือ แม่น้ำบางประกง ซึ่งอยู่ในระยะไกล จึงต้องมี ‘Flood way’ มาแบ่งตรงกลาง เมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก ที่มีแม่น้ำท่าจีน ซึ่งใช้เป็น ‘Flood way’ ได้เลยตามระบบธรรมชาติ
มองไกลไปจากบ้านเรา อ.พนิต ชวนมองว่า เมืองใหญ่ๆ ของประเทศอื่นเสี่ยงน้ำท่วมเสียยิ่งกว่ากรุงเทพฯ แต่พวกเขามีเครื่องมือจัดการ อย่าง เนเธอแลนด์ พื้นที่ส่วนมากอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ก็ใช้กลไกผังเมืองรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ
ตามความเห็นของ อ.พนิต ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัฐบาลกลางต้องสื่อสาร และร่วมรับผิดชอบ โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งข้ออนุญาตพัฒนาอย่างถูกต้อง แต่ได้รับผลกระทบจากการจัดการน้ำ ตรงไหนต้องรับผิดชอบอย่างไร หรือที่ปล่อยให้พัฒนาพื้นที่ไปแล้ว ต้องซื้อคืนหรือช่วยเขาแก้ปัญหาหรือไม่ เพราะเขาขออนุญาตอย่างถูกต้อง
“คุณรู้ว่าตรงนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติสูง แต่คุณบอกให้เขาใช้ประโยชน์ที่ดินแบบเมือง เป็นหมู่บ้านจัดสรรได้ แล้วคุณบอกฉันไม่รับผิดชอบอะไรเลยเหรอ”
ปี 2050 น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ จริงหรือไม่? อดไม่ได้ที่จะทิ้งท้ายด้วยคำถามนี้ “ไม่” เป็นคำตอบของ อ.พนิต ที่มองว่า บทเรียนจากน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 ยังคงเป็นภาพจำติดในหัว โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำเมือง
“อย่างที่ระเบียบทางการเงินการคลังเข้มงวด ก็เพราะลีดเดอร์ยังเห็นว่าเศรษฐกิจตกต่ำแบบสุดๆ เขาถึง well prepared (เตรียมพร้อมอย่างดี) เหมือนกัน ต่อให้น้ำมาเยอะ แต่เราไม่เจ็บเท่าเดิม เพราะ well prepared” อ.พนิต กล่าวทิ้งท้าย










