เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมปีที่แล้ว แพทย์หญิงอ้าย เฟิน จากโรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น ได้ถ่ายภาพผลตรวจของผู้ป่วย และวงกลมคำว่า “ซาร์สโคโรนาไวรัส” ด้วยปากกาสีแดง จากนั้นเธอแจ้งเตือนเพื่อนร่วมงานและรายงานไปยังผู้บังคับบัญชา เนื่องจากเธอต้องดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าว ต่อมาแพทย์ 8 คนได้แชร์ภาพดังกล่าว และถูกตำรวจออกหมายเรียก

ภาพ: Twitter @yiqinfu
ต่อมาในวันที่ 1 ม.ค. เธอถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไปตำหนิ และไม่ปริปากพูดอะไรหลังจากนั้น “ฉันเสียใจมากที่ไม่ได้แจ้งเตือนคนอิ่นๆ อีก ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรีบบอกกับทุกคน”
แพทย์หญิงอ้าย เฟิน เป็นแพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน เธอจึงบอกให้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้วยสวมชุดป้องกันก่อนที่จะสวมเสื้อกาวน์ ซึ่งทำให้แผนกฉุกเฉินมีผู้เสียชีวิตเพียง 2-3 คน แต่ในแผนกอื่นๆ ของโรงพยาบาล จักษุแพทย์ 3 รายเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนายหลี่ เหวินเหลียง และศัลยแพทย์ทรวงอก 1 ราย
หลังจากนั้นไม่นานเธอได้คลอดบุตร และให้นมลูก ในขณะที่สถานการณ์ที่โรงพยาบาลรุนแรงยิ่งขึ้น เธอร้องขอร้องสาวให้ช่วยดูแลลูกและย้ายออกจากที่พัก เธอคิดถึงเรื่องการลาออก แต่สามีเธอบอกว่า “คุณเป็นผู้นำทีมการต่อสู้ครั้งนี้ มันคือสิ่งที่มีความหมายมาก”
คนไข้มารักษาตัวในแผนกฉุกเฉินอย่างล้นหลาม เนื่องจากแพทย์แผนกอื่นไม่สามารถรับมือได้แล้ว ชายคนหนึ่งพาพ่อมาส่งโรงพยาบาลและบอกเธอว่าพ่อกำลังจะตาย ในขณะที่เธอเดินไปที่รถ ผู้ป่วยรายนั้นได้เสียชีวิตแล้ว
นอกจากนั้น ยังมีชายที่นำตัวแม่ของภรรยามารักษา เนื่องจากคนอื่นๆ ในครอบครัวติดเชื้อหมดแล้ว เขากล่าวขอบคุณอ้าย เฟิน และเธอได้ย้ายตัวผู้ป่วยไปยังแผนกผู้ป่วยใน แต่ผู้ป่วยเสียชีวิตขณะส่งตัว
คนในครอบครัวแทบไม่มีใครร้องไห้ เพราะในนั้นเต็มไปด้วยผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และทุกคนต่างก็อาจคิดว่าพวกเขาอาจเป็นคนต่อไป
เธอยังเห็นหญิงวัยกลางคนที่เดินเท้าเปล่าเป็นลมขณะรอคิว และชายสูงอายุที่กำลังขอใบมรณะบัตรให้ลูกชายวัย 32 ปี
อ้าย เฟิน บอกว่า เธออยากเป็นหมอตั้งแต่อายุ 9 ขวบ หลังพ่อของเธอเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เธอบอกว่าเราทุกคนควรเรียนรู้ที่จะคิดได้ด้วยตนเอง
แพทย์หญิงอ้าย เฟิน ยังนับว่าเธอโชคดีที่สามารถป้องกันตัวเองได้ทัน ซึ่งนอกจากเธอแล้ว ยังมีแพทย์อีกหลายรายที่ถูกตำรวจเรียกตัว เพราะถูกกล่าวหาว่าแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ เช่น นายแพทย์ หลี่เหวินเลี่ยง จักษุแพทย์ผู้ออกมาแจ้งเตือนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นคนแรก ซึ่งเสียชีวิตแล้วหลังติดเชื้อ ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยภายในโรงพยาบาลกลางเมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 6 ก.พ.

ช่วงเดือน ธ.ค. นพ.หลี่ ทราบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส 7 รายเข้ามารักษาและกักกันโรคอยู่ที่โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ผู้ป่วยทั้งหมดน่าจะติดเชื้อมาจากตลาดขายอาหารทะเลในนครอู่ฮั่น เชื้อไวรัสชนิดนี้มีลักษณะคล้ายเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์สที่ระบาดในปี 2546
นพ. หลี่ ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลกลางอู่ฮั่น เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ และเป็นผู้แจ้งเตือนเพื่อนที่เป็นแพทย์ด้วยกันเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ปีที่แล้ว ในแอปพลิเคชันสนทนากลุ่ม ให้สวมอุปกรณ์ป้องกันตัว หลังพบว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส 7 รายเข้ามารักษาและกักกันโรคอยู่ที่โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ ผู้ป่วยทั้งหมดน่าจะติดเชื้อมาจากตลาดขายอาหารทะเลในนครอู่ฮั่น เชื้อไวรัสชนิดนี้มีลักษณะคล้ายเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคซาร์สที่ระบาดในจีนเมื่อปี 2546 ในจีน
แต่อีก 4 วันต่อมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเดินทางมาพบเขาและให้เขาเซ็นชื่อในเอกสารฉบับหนึ่ง เอกสารนั้นกล่าวหาว่าเขา “เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ” และ “ก่อกวนความสงบ” โดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเข้าขอโทษภายหลังข้อเท็จจริงปรากฏ
หลังการเสียชีวิตของเขา มีผู้ติดแฮชแท็กว่า “นพ.หลี่เสียชีวิต” ถึง 670 ล้านครั้ง และ “เราต้องการเสรีภาพในการพูด” 2.86 ล้านครั้ง อย่างไรก็ตาม พบว่าแฮชแท็กดังกล่าวถูกลบออกไปในภายหลัง
นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่านายเฉิน ฉิวซื่อ อดีตทนายความด้านสิทธิมนุษยชน วัย 34 ปี ซึ่งเป็นนักข่าวพลเมือง ที่เข้าไปรายงานสถานการณ์ระบาดจากพื้นที่อู่ฮั่น ได้หายตัวไป เมื่อวันที่ 6 ก.พ. แม้ตำรวจแจ้งว่าเขาถูกกักโรค แต่ครอบครัวไม่เชื่อคำอ้างนี้
นายเฉิน ฉิวซื่อ เดินทางไปถึงเมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 24 ม.ค. เพียงหนึ่งวันหลังทางการสั่งปิดเมือง เขาตระเวนสำรวจโรงพยาบาลหลายแห่ง สถานที่เก็บศพสัมภาษณ์ชาวบ้านและสมาชิกครอบครัวผู้ป่วย เผยแพร่ภาพและคลิปสู่โลกภายนอกผ่านทางยูทูบและทวิตเตอร์ ที่มีสมาชิกกว่า 439,000 คนและผู้ติดตาม 253,000 คนตามลำดับ
ในคลิปที่เฉินบันทึกในห้องพักโรงแรมและโพสต์เมื่อวันที่ 30 ม.ค. เขาบอกเล่าถึงสถานการณ์จริงของการระบาดในเมืองอู่ฮั่น เขาย้ำหลายครั้งว่าจะรายงานเฉพาะสิ่งที่เห็น หรือ ได้รับการบอกเล่าโดยตรง จะไม่สร้างความหวาดกลัวหรือแพร่ข่าวลือ และจะไม่ปกปิดความจริง เขาเล่าว่า อู่ฮั่นไม่มีระบบขนส่งเพียงรองรับคนไปหาหมอโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อจำกัดสำหรับใช้กับคนที่มีอาการวิกฤต ผู้ป่วยบางคนเข้าข่ายต้องสงสัย ต้องรอหลายวันกว่าจะได้ตรวจ ส่วนผู้ติดเชื้อก็ยังไม่มีหน้ากากอนามัย
คลิปนี้มีคนเข้าดูกว่า 2 ล้านครั้งและความเห็นกว่า 35,000 ข้อความ ซึ่งหลายความเห็นแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขา และบางคนช่วยแปลและขึ้นซับไตเติ้ลให้เพื่อหวังให้มีคนเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสารในวงกว้างขึ้
นายจาง เฉวียนฟาน อาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ 6 ก.พ. เป็น “วันเสรีภาพแห่งการพูด” และเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา ที่ทำให้เสรีภาพในการพูดเป็นเรื่องไม่ชอบธรรม
เขากล่าวว่า เราไม่ควรปล่อยให้การเสียชีวิตของ นพ.หลี่ เป็นเรื่องสูญเปล่า การตายของเขาไม่ควรทำให้เราหวาดกลัว แต่ควรเป็นแรงกระตุ้นให้เรากล้าที่จะพูด
“หากยิ่งมีคนที่ต้องปิดปากเพราะความกลัวมากเท่าไหร่ ความตายก็จะมาเยือนเร็วขึ้นเท่านั้น ทุกคนควรปฏิเสธการปราบปรามเสรีภาพในการพูดของรัฐบาล”









