รู้จัก ‘Double-Dippers’ ทำงานประจำ แต่รับเงินเดือนหลายที่ เทรนด์มนุษย์ออฟฟิศอยากเกษียณไว

รู้จัก ‘Double-Dippers’ ทำงานประจำ แต่รับเงินเดือนหลายที่ เทรนด์มนุษย์ออฟฟิศอยากเกษียณไว

Work Life

วิถีการทำงานของพนักงานออฟฟิศที่เปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดหลายครั้ง สู่การทำงานทั้งแบบไฮบริด และ remote working (ทำงานระยะไกล) เกิดเป็นเทรนด์ใหม่ที่ช่วงหนึ่งคนรุ่นใหม่จะเรียกว่า ‘overemployed’ ซึ่งใช้อธิบายคนทำงานประจำ แต่รับงานฟรีแลนซ์ หรืองานพาร์ทไทม์อีกหลายๆ ที่ไปด้วย

แต่ปัจจุบัน McKinsey ได้บัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นมา นั่นคือ “Double dipper” เพราะพฤติกรรมคนทำงานประจำที่เปลี่ยนไป ตามสภาวะเศรษฐกิจ และรายได้ที่ไม่มั่นคง แต่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้น

[ Double-dipper ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ เพราะทำงาน full time ทุกที่ ]

ในความหมายของ McKinsey และบทวิเคราะห์ของ Business insider ที่พูดถึงลักษณะคนทำงานประจำ หรือพนักงานออฟฟิศที่ทำงานมากกว่า 1 ที่ และเป็นงานประจำทั้งคู่

สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง Double-dipper กับฟรีแลนซ์ก็คือ ต้องการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งรูปแบบการทำงานส่วนใหญ่จะเป็นแบบออนไลน์ ทำงานจากที่ไหนก็ได้ และไม่ต้องเข้าออฟฟิศ

มีการอธิบายเพิ่มเติมว่า การทำงานแบบ Double-dipping มักจะทำอย่างลับๆ ภายในโครงการจ้างงาน หรือบางองค์กรเป็นการจ้างพนักงานของตัวเองทำอีกตำแหน่งอย่างลับๆ เพราะไว้ใจได้มากกว่าการจ้างคนนอก

อย่างไรก็ตาม McKinsey ประเมินว่า กลุ่มคนทำงานแบบ Double-dipping ที่รับงานขององค์กรตัวเองน่าจะมีเพียง 5% และส่วนใหญ่เป็นการทำงานประจำต่างบริษัทมากกว่า

นักวิเคราะห์มองว่า วิธีเพิ่มความมั่นคงทั้งเรื่องงานและรายได้ในตลาดแรงงานที่คาดเดายากในปัจจุบัน ทำให้หลายคนมองว่านี่อาจเป็นเส้นทางสู่การเกษียณอายุงานก่อนกำหนด และยังช่วยเพิ่มเงินเดือนเป็นสองเท่า หรือบางครั้งถึงสามเท่าด้วย

Business Insider ได้พูดคุยกับพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง เขาอ้างว่าได้รับเงินเดือนรวมต่อปีถึง 820,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 26.8 ล้านบาทต่อปี จากการทำงานทั้ง 3 ที่ซึ่งเป็นงานประจำทั้งหมด คือที่ Meta, IBM และ Tinder

นอกจากนี้ เว็บไซต์จัดหางาน Monster ในสหรัฐอเมริกา เผยข้อมูลว่าช่วงต้นปี 2025 การสำรวจพนักงาน 1,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า 37% ทำงานแบบ Double-dipping โดยมี ‘นายจ้างหลายคน’

ในมุมของผู้บริหารและเจ้าของบริษัท มองว่าการที่พนักงานของตนเป็นกลุ่ม Double-dipper ถือว่าไม่แฟร์กับบริษัท แต่ก็มีบางส่วนที่คิดว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากไม่กระทบต่องานที่ต้องรับผิดชอบในองค์กร

อย่างไรก็ตาม มีการประเมินตัวเลขความเสียหายจากการที่พนักงานหมดแพชชั่นกับองค์กรที่ทำงาน แต่เลือกที่จะไม่ลาออก เน้นทำงานไปเรื่อยๆ แต่ไม่สร้างสรรค์ผลงาน หรือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร ประเมินแล้วองค์กรอาจสูญเสียรายได้ประมาณ 228-255 ล้านดอลลาร์ต่อปี (หรือ 7,468-8,352 ล้านบาทต่อปี) จากการทำงานที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (จากงานวิจัยของ McKinsey ในปี 2023) 

โดยตัวเลขความสูญเสียดังกล่าว คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1-2 เท่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือ 2028 หากองค์กรยังไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง เช่น การมอบหมายงานตามความถนัดของพนักงานจริงๆ หรือ พูดคุยเพื่อช่วยหาสาเหตุของการหมดแพชชั่น รวมถึง การพิจารณาเพิ่มอัตราค่าจ้าง เป็นต้น

ที่ผ่านมามีหลายบริษัทระดับโลก เช่น Amazon, JPMorgan, McKinsey & Company และ Electronic Arts (EA) ที่พยายามให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม โดยให้เหตุผลว่า ต้องการปรับภาพลักษณ์องค์กร สร้างความน่าเชื่อถือ เสริมสร้างความสัมพันธ์ในองค์กร และเพิ่มการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จากประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานทุกคน

ขณะที่ผลสำรวจหลายที่จากกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ ที่ไม่ต้องการกลับออฟฟิศ ชอบที่จะทำงานอย่างอิสระ และเลือกเวลา-สถานที่ทำงานได้ตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ความต้องการองค์กรกับสิ่งที่คนทำงานเรียกร้องดูเหมือนจะสวนทางกันหลายอย่าง อยู่ที่ว่าบริษัทต่างๆ จะใช้วิธีจูนความคิดระหว่างกันได้หรือไม่ เพื่อให้บริษัทได้เติบโตขึ้น

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Prakaiporn WriterPrakaiporn

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง