การทำงานที่เข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา กลายเป็นคำเรียกร้องใหม่ของคนทำงานยุคนี้ ถึงขั้นยอมลดเงินเดือนตัวเอง 9% เพื่อแลกกับการปรับตารางเวลาทำงานที่ตรงกับตัวเองมากที่สุด (ผลสำรวจของ Owl Labs)
หลายครั้งที่ผ่านมาชีวิตคนทำงานมีไม่กี่อย่างที่อยากจะเรียกร้องจากนายจ้าง หนึ่งในนั้นคือ ‘ค่าตอบแทน’ หรือสวัสดิการต่างๆ ที่คุ้มค่ากับการเป็นพนักงาน
แต่เทรนด์ใหม่ที่ HR ของหลายองค์กรควรต้องศึกษาก็คือ วิถีการทำงานที่เรียกว่า ‘Microshifting’ สวัสดิการที่ช่วยปรับสมดุลระหว่างเวลาทำงานกับชีวิตส่วนตัวของพนักงาน ซึ่งคนรุ่นใหม่มองหาค่านิยมการทำงานแบบนี้ มากกว่าการทำงานแบบเดิม ที่เข้างาน 9 โมงเช้า ออกงาน 5 โมงเย็น เป็นต้น
[ การทำงานแบบ Microshifting คืออะไร? ]
Microshifting คือ การแบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ สลับกับการทำกิจกรรมอื่นระหว่างวันได้ แต่ไม่เสียงาน และยังรักษามาตรฐานคุณภาพของงานที่ได้รับผิดชอบไว้เหมือนเดิม
ตัวอย่าง วิถีการทำงานแบบเดิม ที่เข้างาน 9 โมง พักกลางวันเที่ยง และกลับมาทำงานอีกที ช่วงบ่ายโมงตรง จนเลิกงานก็คือ 5 โมงเย็น นี่คือรูปแบบการทำงานแบบเดิมที่มีมานาน
แต่รูปแบบงานใหม่ที่เรากำลังพูดถึง พนักงานจะสามารถจัดการบริหารเวลาได้เอง หลังจากที่เข้างานช่วงเช้า พนักงานสามารถหยุดพักระหว่างวัน หรือไปทำธุระส่วนตัวได้ช่วงบ่าย แล้วค่อยกลับมาทำงานอีกที บ่าย 3 โมง โดยที่ไม่มีปัญหา และคุณภาพงานไม่ตก
เทรนด์ Microshifting จะไม่ใช่ ‘ลดเวลาทำงาน’ แต่เป็นการเน้น ‘เวลาที่ยืดหยุ่น’ พนักงานสามารถทำงานช่วงบ่าย หรือค่ำได้ ตราบใดที่งานของวันนั้นเสร็จตามเป้า
[ 65% พนักงานต้องการเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นมากที่สุด ]
รายงาน State of Hybrid Work ปี 2025 ของ Owl Labs ระบุว่า พนักงานออฟฟิศที่ทำงานการสำรวจกว่า 65% ต้องการความยืดหยุ่นในตารางการทำงานมากที่สุด มองว่า การทำงานที่ยังสามารถดูแลครอบครัวได้ หรือออกไปทำธุระส่วนตัวได้ คือ รูปแบบการทำงานที่ดีที่สุดของยุคนี้
คล้ายๆ กับผลสำรวจอีกชิ้นหนึ่งจาก The Big Shift: U.S. 2025 ของ Deputy ที่เผยว่ากลุ่มพนักงาน Gen Z ในหลายอุตสาหกรรมยอมรับว่า ชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงระหว่างวัน แต่การทำงานอาจนานขึ้นจนถึงกลางคืน ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา หากสามารถเอาเวลาบางส่วนไปดูแลชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น
ขณะที่ งานวิจัยจากสถาบัน Chartered Institute of Personnel and Development เปิดเผยว่า 80% ของพนักงานเชื่อว่าความยืดหยุ่นในการทำงานส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของพวกเขา รวมถึงการทำงานมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
[ Microshifting กับสถานการณ์คนทำงานมากกว่า 1 ที่ ]
ผลสำรวจของ Owl Labs ยังเผยว่า มีจำนวนพนักงาน 1 ใน 5 ที่ตอนนี้ทำงานมากกว่า 1 ที่ ซึ่งเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่นี้ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ต่อพนักงาน แต่ความจริงคือ บริษัทเองก็ได้ประโยชน์จากคุณภาพงานที่เพิ่ม
World Economic Forum เผยว่า มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่าพนักงานที่มีสุขภาพดีก่อให้เกิดต้นทุนด้านสุขภาพที่ลดลงและผลิตภาพที่สูงขึ้น ขณะเดียวัน หากความเป็นอยู่ของพนักงานไม่ดีก็สามารถเพิ่มต้นทุนและลดรายได้ขององค์กรได้เช่นกัน
บริษัทที่มีพนักงานที่มีความสุขและมีสุขภาพดีสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าคู่แข่ง ทั้งได้ยกตัวอย่าง บริษัทหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ที่ได้รับรางวัลจากโครงการริเริ่มด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน พบว่ามีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 115% เทียบกับคู่แข่งที่กำไรต่อหุ้นเพียง 27%
การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานนอกจากจะช่วยเพิ่มข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ยังสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงขึ้นในองค์กรเพราะเมื่อพนักงานรู้สึกว่า สวัสดิการของบริษัทนี้ตอบโจทย์ อัตราการลาออกก็จะลดลงตาม
นอกจากนี้ การทำงานแบบ Microshifting ยังลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจาก ‘การหมดไฟ’ ของพนักงานได้ ปี 2024 พบว่า 90% พนักงานรู้สึกหมดไฟ ไม่อยากทำงาน เพราะเหนื่อยล้าเกินไปกับชั่วโมงการทำงานที่ลากยาว
ปรากฎการณ์นี้ ชาวออฟฟิศเรียกกันว่า ‘quiet cracking’ (การแตกสลายอย่างเงียบๆ) อาการคล้ายกับคนหมดไฟ อิดโรย ป่วยบ่อย ไม่มีความกระตือรือร้น อารมณ์สวิงบ่อยจนกระทบกับการทำงานในแต่ละวัน
ดังนั้น การปรับรูปแบบการทำงานขององค์กรอย่างค่อยเป็นค่อยไป กำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพของงานที่ชัดเจน รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบงานของแต่ละคน พร้อมการวัดผลที่เท่าเทียม เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานอย่างยืดหยุ่นได้ตามที่ต้องการ อาจช่วยแก้ปัญหาที่หลายองค์กรเผชิญอยู่ตอนนี้ก็ได้










