‘วิภา’ ผ่านไป ‘คาจิกิ’ พัดมา ชีวิตคนน่าน กลางสองพายุในรอบเดือน

‘วิภา’ ผ่านไป ‘คาจิกิ’ พัดมา ชีวิตคนน่าน กลางสองพายุในรอบเดือน

“ถ้าเป็นคนคงขอท้าต่อย อะไรจะโหดเหี้ยมกันขนาดนี้ แต่มันก็เป็นธรรมชาติ เราจะไปทำอะไรได้” ชาวบ้านม่วงตึ๊ดคนหนึ่งพูดขึ้น ระหว่างกำลังทยอยเก็บข้าวของหนีน้ำ ตามประกาศเฝ้าระวัง พายุไต้ฝุ่น ‘คาจิกิ’ ทั้งที่ในระยะสายตา คราบน้ำริมฝาบ้านจาก ‘พายุวิภา’ ยังไม่ทันจางลงเลย

 

นี่ราวกับเป็นฉากซ้ำ ที่คนน่านต้องเผชิญอีกครั้ง หลังจังหวัดน่าน เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ  นับแต่เช้าวันที่ 26 ส.ค. ริมแม่น้ำน่าน ก็มีผู้คนสับเปลี่ยนไปสังเกตการณ์ตลอดทั้งวัน จนพายุที่อ่อนกำลังลง เป็นหย่อมความกดอากาศต่ำมาถึง ฝนจึงเทลงมาไม่ขาด และฝนตกตลอดคืน ก็ทำน้ำเออท่วมเส้นทางสัญจรตามที่คาด บางพื้นที่มีดินสไลด์ ขณะที่เทศบาลก็มีน้ำขัง

ก่อนที่ช่วงเย็นวันที่ 27 ส.ค. หลังเร่งระบายน้ำเต็มสูบ ผู้ว่าฯ น่าน ได้อัปเดตว่าสถานการณ์คลี่คลายลง เฝ้าระวังหนักพื้นที่น้ำไหลผ่าน และเร่งสำรวจความเสียหาย 

บ้านหลายหลังเพิ่งขัดล้างคราบน้ำ และโคลนเสร็จไม่กี่วัน จึงคล้ายกลับไปเริ่มต้นล้างบ้านกันใหม่ ท่ามกลางความกังวลที่ไม่รู้พายุจะมาเมื่อไหร่อีก จะว่า ‘โชคดี’ ที่สถานการณ์ไม่ร้ายแรงเช่นครั้งก่อน ก็ดูน่าแค้นใจไปหน่อย เพราะเชื่อว่าชาวน่าน คงไม่มีใครดีใจออก เพราะขึ้นชื่อว่าพายุ ย่อมทิ้งรอยความเสียหายลดหลั่นกันไป

สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าว TODAY มีโอกาส พูดคุยกับหลายชีวิตในเมืองน่าน หลังผ่านประสบการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุด กับวิถีชีวิตใหม่ที่ต่างติดตามข่าวฟ้าฝนกันรายชั่วโมง 

หมายเหตุ: การลงพื้นที่สัมภาษณ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23-24 ส.ค.

[ คราบน้ำยังคงฝากรอย บางบ้านเพิ่งล้างเสร็จไม่กี่วัน ]

“บางบ้านยังล้างไม่เสร็จเลย เพราะโดนก่อน อย่างฝั่งบ้านพี่โดนก่อน”

ชายคนหนึ่งยืนถือเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง กำลังล้างทำความสะอาดพื้น ใกล้ๆ ตัวเขามีกองข้าวของที่เสียหาย ขวดน้ำในลังที่เปื้อนโคลน พร้อมกับมีแผ่นป้ายเขียนข้อความไว้ว่า “เก็บไว้ก่อน” เขาเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองน่าน ที่อยู่ในช่วงฟื้นฟู หลังเจอพิษน้ำท่วม ในวันนั้น เขาตั้งใจจะเอาขยะที่เก็บกวาดไปทิ้งที่บ่อขยะในเมือง ไปพร้อมกับลุ้นว่าพายุลูกใหม่ที่จะพัดผ่าน จะฝากรอยน้ำรอยโคลนมากน้อยแค่ไหน

ชายหลวง ดิษฐะบำรุง หรือ ‘พี่ซี’ เจ้าของโรงแรม ศรีนวล ลอดจ์ รุ่นที่ 3 เริ่มต้นเล่าว่า โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนหน่อคำ อยู่ในเขตพื้นที่ลุ่มต่ำของตัวเมืองน่าน แม้พื้นที่จะถมสูงกว่าถนนราวๆ 1 เมตร แต่น้ำก็ท่วมชั้นล่างของโรงแรมมาหลายครั้ง

พี่ซี เล่าว่า นับตั้งแต่รับช่วงดูแล ปี 2554 ก็เจอน้ำท่วมมิดเคาน์เตอร์โรงแรม และอีกครั้งในปี 2561 ก่อนจะเจอเล็กๆ น้อยๆ จนมาถึงปี 2567 ศรีนวล ลอดจ์ เสียหายหนักจากน้ำท่วม หลังจากนั้นพี่ซีเริ่มปรับปรุงโรงแรมใหม่ แต่ยังไม่ทันรีโนเวทเสร็จ พายุ ‘วิภา’ ก็ถล่มน่านในเดือน ก.ค. 2568 ทั้งที่ยังไม่ครบปีจากเหตุการณ์ก่อนหน้า

“เราจะรีโนเวทใหม่ คิดใหม่ทำใหม่ ก็จะเจาะรู ปูพื้นใหม่ อะไรก็แล้วแต่ไม่ให้โคลนมันติด หรือคราบฝุ่นติดแน่น แล้วก็เจาะรูระบายพื้นอะไรอย่างนี้” พี่ซีเล่าแผนปรับปรุงที่วางไว้

และเมื่อมีประกาศพายุลูกใหม่ ในฐานะคนน่าน พี่ซี ออกปากว่า ไม่เคยเจอพายุซ้ำถี่มากขนาดนี้ ถ้านับตั้งแต่ปี 2549 ถือว่าเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ในความทรงจำของคนน่าน ก่อนที่จะห่างหายไปในตัวเมือง แต่ยังท่วมติดต่อกันใน ‘จุดน้ำท่วมซ้ำซาก’ แถมยังถี่ขึ้น จากที่อยู่ราว 5 ปี จะท่วมสักครั้ง 

ชุมชนบ้านท่าวังผา บ้านท่าค้ำ บ้านดอน รวมถึงชุมชนในเมืองเอง…เป็นชื่อถูกท่วมซ้ำซาก ที่พี่ซีไล่เรียง  แม้แต่หมู่บ้านที่ชื่อขึ้นต้นว่า “ดอน” ก็ไม่รอด

“บ้านดอนศรีเสริม ชื่อว่าบ้านดอน แต่ท่วมทุกปี ไม่มีครั้งไหนมันไม่โดนเลย แต่โดนเล็กโดนน้อยนะ อีกอันคือท่าลี่ บ้านพวงพยอม บ้านดอนแก้ว ก็ถ้าเขยิบไปหน่อยก็จะเป็นแถวทางใต้แม่น้ำ แล้วก็ไปเวียงสา ซ้ำซากเลย เวียงสานี้โดนเกือบทั้งเมือง”

ในมุมมองคนพื้นที่มองว่า ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ควรได้รับการพูดถึงมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะถ้าวัดจากความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว พื้นที่เหล่านี้สูญเสียหนัก และต่อเนื่อง มากกว่าน้ำท่วมใหญ่ที่ถูกให้ความสนใจเสียอีก

“น้ำท่วมใหญ่เข้าใจตีวงกว้าง แต่พื้นที่ซ้ำซากโดนทุกครั้ง โดนหนักๆ ทุกครั้ง ความสูญเสียถ้าคิดเป็นตัวเลข เผลอๆ จะเยอะกว่า มุมความสูญเสียแล้วก็การเยียวยา หมดกับพื้นที่ซ้ำซากไปเยอะกว่า” 

[ บ้านแสงดาว พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ] 

ก่อนพายุ ‘คาจิกิ’ จะมาถึง ตามเส้นทางข้ามสะพานศรีบุญเรือง ลัดเลาะถนนเล็กๆ ที่วิ่งขนานริมน้ำน่าน จนมาถึงชุมชนบ้านแสงดาว ริมถนน เราพบหญิงคนหนึ่ง กำลังผลุบโผล่อยู่ในท่อระบายน้ำ

“บ้านแสงดาว จะว่าเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากได้อยู่ เพราะเราเป็นชุมชนที่ติดน้ำ ชุมชนก็มีการเตรียมรับมือ แต่ด้วยความที่ปีที่แล้ว (2567) น้ำมันก็สูงอยู่แล้ว ปีนี้เราก็มองว่าใกล้ๆ กัน เราก็เก็บของ แต่ความหนักของปีนี้คือมันท่วมเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เมตร”

พี่ออม บอกเล่าสิ่งที่คนชุมชนบ้านแสงดาวเผชิญ เนื้อตัวของเธอมีโคลนติด เพราะไม่กี่นาทีก่อนหน้า เพิ่งมุดออกจากท่อระบายน้ำหน้าบ้าน หลังขุดลอกเอาโคลนหนาที่อุดตันออก   

เธอเป็นคนบ้านแสงดาว ชุมชนที่ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำน่าน ที่มักเกิดน้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมบ่อยครั้ง ถึงบ้านหลายหลังในชุมชน ทยอยทำความสะอาดไปแล้ว แต่ตามถนนยังมีฝุ่นแดง ที่เกิดจากดินโคลนหลงเหลืออยู่ พี่ออม ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พร้อมบอกว่า กว่าคนจะกลับมาใช้ชีวิตปกติกันได้ใช้เวลานานมาก

สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากพายุ ‘คาจิกิ’ จึงไม่ใช่เรื่องที่ชาวน่าน อยากจะนึกถึงเอาเสียเลย “เอาจริงๆ เกือบสามอาทิตย์ ที่เห็นในสภาพสะอาดปกติ ก็ประมาณ 3 วัน เพราะเขาเพิ่งมาล้างถนนแบบจริงๆ จังๆ แล้วเพิ่งมาขุดลอกคลอง เพราะไม่ทำอย่างนั้นการระบายน้ำก็ทำไม่ได้ โคลนก็ค่อนข้างเยอะ” 

เธอบอกว่า ถ้าเอาแค่เฉพาะล้างบ้าน ขุดโคลน จ้างคน หมดเงินไปประมาณ 15,000 บาท แล้วช่วงแรกต้องเจอปัญหาน้ำไม่ไหล ต้องใช้วิธีสูบน้ำ แล้วถ้าบ้านไหนไม่มีน้ำบ่อไว้ใช้ รอน้ำประปาที่ไหลรวยริน บางบ้านถึงกับร้องไห้กับสภาพที่ต้องเผชิญ เพื่อนบ้านในชุมชน ต่างกังวลเรื่องน้ำท่วมฉับผลัน ยิ่งช่วงเวลากลางคืน ยิ่งวิตกหนัก 

“ตอนนี้ถ้าถามทุกบ้านจะมีเรื่องของความวิตก ก็คือจะมีเรื่องปัญหาของสุขภาพจิต เพราะว่าแต่ละคนที่คุยแล้วก็คือประมาณตี 1 ตี 2 จะเริ่มนอนไม่หลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ยิ่งเป็นคนแก่ดึกๆ จะกระสับกระส่าย” 

[ เงินเยียวยาหลังน้ำท่วม ]

“จะรักเมืองน่านอะไรหนักหนา” เจ้าของร้านมยุรี รสเด็ดจังหวัดน่าน พูดขึ้น หลังได้รับข้อความที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ส่งแจ้งเตือนพายุ ‘คาจิกิ’ ที่มีจังหวัดน่าน อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวัง

ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจของเมือง ห่างจากวัดภูมินทร์ในระยะเดินถึง และไม่ต่างกับที่อื่นๆ ภายในร้านที่สะอาดสะอ้าน ย่อมต้องมีรอยขีดบอกปริมาณน้ำที่ท่วม ทั้งปี 2549, ปี 2567 และ ปี 2568 ที่เจ้าของร้านตั้งใจทิ้งเพื่อบันทึกเอาไว้

“พี่ทำความสะอาดบ้านไป 4 วัน เอาเน้นๆ เลย เก้าอี้ทุกตัวพี่ต้องฉีด ตัวไหนใช้ไม่ได้พี่ไปกองทิ้ง กองเป็นภูเขาเลย ทิ้งหมด เตาแก๊ส หัวแก๊ส อะไรทิ้งหมดเจอขี้โคลน ซื้อใหม่หมด ตู้เย็นสองประตูข้างในก็ยังใช้ไม่ได้” เขาเปิดภาพสภาพร้านที่เจอน้ำท่วมชั้น 1 ให้ดูผ่านโทรศัพท์

นับตั้งแต่ผ่านพ้นพายุวิภา ราวเดือนเศษ ชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้ชี้แจงผ่านประชาสัมพันธ์จังหวัดน่านว่า กำลังเร่งขอรับความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และฟื้นฟูพื้นที่อยู่อาศัยให้กลับสู่สภาพปกติ ในส่วนของเงินเยียวยา ได้แยกรายละเอียดไว้ว่า ดังนี้

  1. เยียวยาครัวเรือนน้ำท่วม ครัวเรือนละ 9,000 บาท (ตามมติ ครม. 8 ต.ค. 67) 
  2. จ่ายค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน–ซากวัสดุจากบ้านเรือน หลังละ 10,000 บาท 
  3. ขอเว้นค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า สำหรับพื้นที่ประกาศเขตช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตั้งแต่ ก.ค. 2568 เป็นต้นไป

ที่มาของเงินเยียวยาในครั้งนี้ ได้รับงบประมาณเป็นพิเศษจากรัฐบาล เป็นเงินเยียวยาก้อนแรก 101 ล้านบาท งบประมาณส่วนนี้ มาจากงบพิเศษของรัฐบาลจำนวน 50 ล้านบาท และเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 51 ล้านบาท เงินเยียวยางวดแรกสำหรับชาวบ้านที่ประสบภัยจากพายุวิภา ข้อมูลจากศูนย์ประชาสัมพันธ์ร่วมจังหวัดน่าน ระบุว่า เงินเยียวยาแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด เจ้าหน้าที่จะสำรวจความเสียหายเป็นรายครัวเรือน ก่อนพิจารณาจ่าย 

“น้ำท่วม 3 วัน น้ำขังอีก 3 วันกว่า รวมล้างบ้านอีก 4  รวมแล้วก็คือรายได้ที่เราขาดไป เพราะว่าเรายังต้องส่งค่าบ้านค่าน้ำค่าไฟ”

เจ้าของร้านมยุรี รสเด็ดจังหวัดน่าน บอกเล่า ถึงต้นทุนเวลาที่สูญเสียไป จากการเจอน้ำท่วมใหญ่ เขาบอกว่ารวมเงินที่ใช้จ่ายในการซ่อมแซมร้าน และเครื่องมือทำมาหากินหมดไปประมาณเกือบ 5 หมื่นบาท แค่เฉพาะซ่อมรถมอเตอร์ไซต์ก็หมดไปหลักหมื่นแล้ว ทั้งนี้ ยังไม่รวมรายได้ที่สูญเสียไปจากการต้องหยุดขายของ

ในส่วนของเงินเยียวยางวดแรกที่ได้รับ เจ้าของร้านมยุรี รสเด็ดจังหวัดน่าน บอกว่าตอนนี้ส่วนใหญ่ได้เงินมา 5,600 บาท “โดนหมดทุกคนในเมือง ต่างคนต่างเสียหาย เราก็ไม่รู้ต้องไปเรียกร้องอะไร”

[ แนวโน้มท่วมบ่อยขึ้น การรับมือต้อง “เอ็กซ์ตรีม” ] 

ในขณะที่ ส่วนปกครองท้องถิ่นทำงานเต็มกำลัง ชาวน่านเองก็ขยับตัวไปพร้อมกัน พี่ซี เล่าว่า หลังจากเมืองน่านจมน้ำในช่วงปลายเดือน ก.ค. เขาและเพื่อนๆ ได้ก่อตั้ง ‘ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชนน่าน’ 

ภารกิจ คือ ตั้งโรงครัวประกอบอาหาร การรับบริจาคสิ่งของ เพื่อส่งต่อไปยังผู้ประสบภัย รวมถึงซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องดูดโคลน ปั๊มน้ำ ถังน้ำ ไม้กวาด หรือแม้แต่เรือ ไปจนถึงล้างบ้านให้กลุ่มเปราะบาง  

ผ่านมาราวเดือนเดียว เครือข่ายอาสาสมัคร ได้ช่วยเหลือผู้คนไม่ต่ำกว่า 2,000 คน เขาเล่าว่า น้ำท่วมปี 2568 ต่างกับที่ผ่านมามาก เพราะนับตั้งแต่พายุวิภา ชาวน่านโดนกันทั่วหน้า ย้ำกับทีมว่า ใครที่บ้านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้ออกมาก่อน เอาตัวเองให้ปลอดภัย แล้วค่อยช่วยงานต่อ ต้องไม่กลายเป็นผู้ประสบภัยเอง”ด้วยสถานการณ์อุทกภัย ที่น้ำมักจะเชี่ยว จนตามซอกซอยเรือใหญ่ เข้าไม่ได้ เรือท้องแบนเข้าลำบาก ชาวบ้านจึงต้องเรียนรู้ที่จะเตรียมพร้อม ไม่เว้นกระทั่งเรื่องเล็กน้อย

“ชาวบ้านต้องมีนกหวีด หรือปักธงทำสัญลักษณ์ที่บอกให้เห็นว่า ตัวเองเดือดร้อนอยู่ ต้องบอกด้วยว่ามีกี่คน อยู่กันยังไง มีฉุกเฉินไหม หรือสบายดี เพื่อให้คนช่วยรู้”

ในระยะยาว พี่ซี มองว่า พื้นที่ที่ท่วมซ้ำซากอาจต้องปรับตัวอย่างจริงจัง ย้อนกลับสู่วิถีเดิม อย่างทำบ้านใต้ถุนสูง เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนไป ภัยพิบัติถี่และรุนแรงขึ้น เราก็ต้องรับมือแบบ “เอ็กซ์ตรีม” มากขึ้น

กระทั่งการเตรียมขนของเมื่อมีแจ้งเตือน ถ้าประเมินความเป็นไปได้อยู่ที่ 50 ต่อ 50 ว่าน้ำจะมา ตัวเขาเลือกที่จะเก็บของทันที เพราะเมื่อเกิดความเสียหายไม่คุ้ม

“มานั่งลุ้นเอาอีก 7 ชั่วโมงค่อยเก็บ ผมไม่คิดอย่างงั้น…มันซ้ำซาก คุณเคยโดนแล้ว คุณยังไม่คิดอีกเหรอว่าคุณต้องเก็บ เก็บให้มันพ้น ไม่ใช่เทิร์นด้วยนะ ยกออกไป หรือยกที่สูง อย่าไปเทิร์น เพราะไม่งั้น คุณจะเหนื่อยมากเลย ตอนถ้ามันท่วมเสร็จแล้ว เพราะคุณจะต้องล้างทุกอย่าง แต่ถ้าเกิดคุณเก็บ คุณล้างแค่ขี้โคลน ห้องคุณโล่งแล้วคุณล้างแค่ขี้โคลนจบ”

[ ‘ผู้สูงอายุเยอะ’ บริบทที่ต้องคำนึงในพื้นที่ภัยพิบัติน่าน ]

“ส่วนใหญ่คนในชุมชนเป็นผู้สูงอายุมาน้อยแค่ไหน” เป็นคำยืนยัน ของ ครูต้อม ชโลมใจ ชยพันธนาการ เจ้าของ Banban Nannan library and guest home ห้องสมุด และที่พักที่เพิ่งผ่านล้างทำความสะอาดเสร็จไม่นาน 

“ ถ้าเรานับว่าผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ขึ้นไป ก็ยิ่งเยอะมากขึ้น แต่ว่าผู้สูงอายุในสายตาของเราคือคนแก่ 70 กว่าขึ้นไปมีแทบทุกบ้าน ในชุมชนบ้านมณเทียรแทบจะไม่มีหลังไหนเลยที่ไม่คนแก่” 

บริบทเช่นนี้ เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรับมืออุทกภัยเมืองน่าน ในหลายชุมชนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุอยู่อาศัย ลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย ทำให้การขนย้ายของขึ้นที่สูงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าจำนวนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป น่านอยู่ในอันดับ 6 ของภาคเหนือตอนบน อันดับที่ 44 ของประเทศ

กรณีของครอบครัวครูต้อม เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สะท้อนเรื่องนี้ โดยปกติเธออยู่กับแม่วัยชรา ทำให้การจะขนย้ายของขึ้นที่สูงในส่วนของชั้น 2 ของบ้านทำได้ยากลำบาก ทำให้น้ำท่วมที่ผ่านมาข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่เสียหายไปมาก ถึงทำให้ เธอตัดสินใจย้ายข้าวของ ตั้งแต่นาทีแรกที่มีการประกาศเตือน พายุไต้ฝุ่น “คาจิกิ” 

เธอบอกว่า ด้วยการเจอน้ำท่วมติดๆ กันมาสองปีติด หลังจากนี้ ไม่ใช่แค่คนที่ต้องปรับตัว สิ่งของก็ต้องปรับเปลี่ยนที่ทางถาวร “ต่อไปข้าวของคงต้องอยู่ในกล่องตลอดเลย พร้อมขนขึ้นขนลง” 

[ แผนระยะยาวที่คนน่านอยากเห็น ]

“มันต้องมีทั้งสั้นและยาว เรายังไม่เห็นแผนยาวของจังหวัดเลย ระยะสั้นเราเห็นบ่อยมาก”

ที่ผ่านมา หากมองผ่านสายตาภาคประชาชนคนน่าน พี่ซี มองว่า สิ่งที่ชัดเจนคือจังหวัดมักมี “มาตรการระยะสั้น” เช่น การซ่อมปั๊มน้ำ ขุดลอกคูคลอง เสริมพนังกั้นน้ำ จัดศูนย์อพยพ หรือการเยียวยาหลังน้ำลด สิ่งเหล่านี้เราเห็นแทบทุกปี และมักเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเมื่อมีพายุหรือฝนหนักเข้ามา

แต่สิ่งที่ยังไม่ค่อยเห็นคือ “แผนการระยะยาว” ที่ชัดเจน และต่อเนื่อง แผนที่คิดเผื่อไว้เลยว่า ถ้าน้ำมา เราจะจัดการอย่างไร บ้านเมืองต้องเตรียมรับผลกระทบแบบไหน ต้องมีศูนย์อพยพขนาดใหญ่พอ สำหรับรองรับคนจำนวนมาก ต้องเตรียมเสบียง น้ำดื่ม เวชภัณฑ์ รวมถึงหน่วยงานสนับสนุน เช่น ทหาร อาสาสมัคร หรือระบบขนส่งและเส้นทางอพยพ ที่สามารถจำลองหรือ simulate ไว้ล่วงหน้าได้

“คุณต้องวางแผนป้องกันเยอะขึ้นอะไรอย่างนี้ แล้วต้องเตรียมการหลายวันถูกไหม แล้วเดี๋ยวมาแบบ ‘เรามีเวลาแค่นี้ ทำแค่นี้ ต้องเข้าใจว่ามันเป็นภัยพิบัติ มันเดาไม่ได้’ แต่การคาดเดาไม่ได้นี่แหละ คุณก็ต้องเตรียมรับมือ”

เขายืนยันว่าที่พูดไม่ใช่การไปโทษใคร แต่จากการเก็บสถิติเห็นว่าแนวโน้มน้ำท่วมจะหนักขึ้น ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในเมืองน่าน จึงควรยกระดับเป็น “วาระสำคัญ” 

เขายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น เวลามีแผ่นดินไหว มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าเลยว่าต้องอพยพกี่คน เส้นทางไหน เตรียมสิ่งของอะไรบ้าง และซ้อมกันจริงจัง แม้คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไรหรือรุนแรงแค่ไหน แต่สิ่งที่เป็นผลลัพธ์แน่นอนคือ ทำให้คนน่านทุกคนพร้อมรับมือ ผลลัพธ์คือความสูญเสียก็จะลดลง

ถึงตอนนั้น หากเมืองน่านมีจัดการแผนล่วงหน้าอย่างจริงจัง พี่ซี มองว่า คนน่านก็จะไม่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมในฐานะ “ภัยพิบัติ” จนเกิดความโกลาหลและการสูญเสีย แต่จะเป็นเพียง “เหตุการณ์หนึ่ง” ที่สามารถผ่านไปได้ และคนน่านก็จะกลับมาฟื้นฟูชีวิตได้เร็วกว่าเดิม

NaratipWriterNaratip

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง