“เราเจาะไปแค่ 3 เมตร มันก็ไปต่อไม่ได้แล้ว ไปเจอถังเบ๊าท์ (ถัง IBC ขนาด 1,000 ลิตร) ถุงบิ๊กแบ็ค พอเห็นแบบนี้เราก็เลยคิดว่า ตั้งแต่มีเรื่องในปี 2565 แสดงว่ามันไม่ได้มีการเคลียร์ของออกไปเลย” นี่เป็นข้อสงสัยของ มนัสวี เฮงสุวรรณ นักธรณีวิทยาชำนาญการ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่เกิดขึ้นทันที เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ของเหลวสีดำพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากเครื่องจักรบรรจงขุดลงบนผืนดิน ในพื้นที่ ม.11 ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยจุดเริ่มต้นมาจาก กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ไปเจาะบ่อบาดาลในที่ดินเอกชนแห่งหนึ่ง เพื่อทำบ่อสังเกตการณ์เฝ้าระวังการปนเปื้อน จากการลักลอบฝังกลบกากอุตสาหกรรม และการประกอบกิจการโรงงาน จนปรากฏเป็นสิ่งที่เห็น
จากการสำรวจบริเวณพื้นที่โดยรอบ เจ้าหน้าที่ยังพบว่า ผืนดินมีลักษณะอ่อนยวบๆ เหมือนมีน้ำขังอยู่ข้างใต้ ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา แต่เธอยอมรับว่า เท่าที่สังเกตเบื้องต้น ยังไม่มั่นใจนักว่า อาณาเขตของการฝังกลบใต้ดิน ครอบคลุมกว้างขวางมากน้อยแค่ไหน
“มันเป็นดินสีน้ำตาลมากลบเต็มพื้นที่เลย และเข้าไปมันจะมีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำมัน หรือพวกสารตัวทำละลาย (solvent) กระจายอยู่ทั่ว”

ของเหลวสีดำที่พุ่งขึ้นมาบ่อสังเกตการณ์เฝ้าระวังที่ขุดโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
มนัสวี เล่าต่อว่า สาเหตุที่เข้ามาตรวจสอบพื้นที่นี้ เพราะเป็นหนึ่งในโครงการติดตามคุณภาพน้ำ ในพื้นที่ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม และฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง ที่ต้องจับตา เน้นหลักๆ ใน อ.แปลงยาว และ อ.พนมสารคาม โดยใช้วิธีการเจาะติดตั้งบ่อสังเกตการณ์ เผื่อว่าในอนาคตพื้นที่เฝ้าระวังมีปัญหาสารเคมีรั่วไหลออกมา ก็จะสามารถติดตามตรวจสอบได้ทันสถานการณ์
จะว่าการเจาะพบครั้งนี้เป็นเรื่องบังเอิญเสียทีเดียว ก็คงไม่ใช่ มนัสวี เล่าว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พื้นที่แห่งนี้มีการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ทีม จึงอยากมาตรวจสอบว่าในปัจจุบันมีลักษณะเป็นอย่างไร
แต่ใครเล่าเลยจะรู้ นอกจากของเหลวสีดำที่กลิ่นเหม็นคล้ายน้ำมัน ที่ถูกขุดขึ้นจากใต้ผืนดินเอกชนแห่งนี้ สิ่งที่ถูกเปิดเผยตามออกมาติดๆ คือ ความไม่ชอบมาพากล ในการกำกับดูแลกากอุตสาหกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ถูกขุดตามขึ้นมาพร้อมๆ กัน และเพื่อทำความเข้าใจ เราอาจต้องพาทุกคนย้อนเวลากลับไป ราว 3 ปีก่อน
[2565 บ่อขยะอุตสาหกรรมไฟไหม้ แต่หลังเพลิงสงบ ปมแอบลักลอบประกอบกิจการถูกเปิด]
ย้อนกลับไปในปี 2565 ซากกองกากอุตสาหกรรม ในที่ดิน 11 ไร่แห่งนี้ เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ จนก่อให้เกิดเขม่าควันส่งกลิ่นเหม็น กระทบชุมชนโดยรอบ
จากเหตุการณ์นั้น ในวันที่ 4 มิถุนายน 2565 องค์การบริหารส่วนตำบลหัวสำโรง เข้าไปตรวจสอบ เป็นที่มาของ ‘คำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้หยุดการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ’ ด้วยเหตุว่า ที่ดินแห่งนี้ ถึงแม้จะปรากฏพบการนำวัสดุมาคัดแยก และเผา พูดง่ายๆ ว่ามีการดำเนินกิจการด้านของเสีย โดยมีการปลูกสร้างอาคารให้เห็นอย่างเด่นชัด
ทว่า กลับไม่มีหลักฐานการยื่นขออนุญาต เพื่อประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่จำเป็นต้องยื่นขอต่อ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ตาม พ.ร.บ. สาธารณสุข พ.ศ. 2535 จึงถือได้ว่าเป็นการประกอบกิจการเถื่อน อบต. จึงออกคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการโดยทันที

ข้อเท็จจริงนี้ ถูกยืนยันเพิ่มเติม ผ่านการรายงานของ มนตรี อุดมพงษ์ ในรายการ ‘ข่าว 3 มิติ’ ที่ออกอากาศโดยช่อง เมื่อ 6 กันยายน 2565 ว่า การประกอบกิจการบนที่ดินแห่งนี้ เป็นการลักลอบโดยไม่มีการขออนุญาตใดๆ โดยมีการอ้างอิงข้อมูล ทั้งจากผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต. สำโรง ที่เปิดเผยว่า “เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่งไปขอเอกสารแบบฟอร์ม หวังจะยื่นขออนุญาตตั้งกิจการคัดแยกขยะ แต่เมื่อได้แบบฟอร์มไปแล้ว กลับไม่มีการยื่นคำขอ ทำให้ อบต. ไม่มีข้อมูลใดๆ หรือคำร้องใดๆ ของเจ้าของกิจการนี้แม้แต่ใบเดียว”
รายงานชิ้นเดียวกันนี้ ยังระบุว่า บ่อขยะอุตสาหกรรมแห่งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับปัญหาบ่อขยะจากสารเคมีในพื้นที่ ต.หนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
ขณะที่ พฤกษ์ สิโรรัตนเศรษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองบริการจัดการกากอุตสาหกรรม ในสังกัดกรมโรงงานฯ ขณะนั้น แจงว่า เป็นที่ดินเปล่าที่มีการขนเอาของเสียมาทิ้ง ส่วนเจ้าของที่ดิน ซึ่งตามเอกสารราชการ ระบุผู้มีสิทธิครอบครองเพื่อทำประโยชน์ คือ รุ่งกาญจน์ ล้อคำ ก็ส่งที่ปรึกษากฎหมายชี้แจงแทนว่า ที่ดินมีผู้อื่นมาเช่าทำกิจการรีไซเคิล ดังนั้น ขั้นตอนขออนุญาตเป็นหน้าที่ของผู้เช่า
อย่างไรก็ดี เนื่องจากตามกฎหมายวัตถุอันตราย ถือว่า ผู้ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิด ดังนั้น ในกรณีนี้ ผู้เป็นเจ้าของที่ดินย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ทว่า จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีข้อสรุปว่ามีการเอาผิด หรือ เรียกร้องความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากผู้ใดได้บ้าง
ทั้งนี้ ตามหนังสือที่ลงนามโดย ‘สมชาย เถื่อนสุวรรณ์’ ในฐานะอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ในขณะนั้น ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ก็รายงานประเด็นนี้ไว้เพียงว่า ได้ ‘ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจภูธรแปลงยาว เพื่อดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในฐานะครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต’ โดยไม่ได้ระบุผลการสืบสวนสอบสวน รวมถึงผู้กระทำความผิดในกรณีนี้แต่อย่างใด
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทำไมในปี 2568 เมื่อกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ขุดเจาะลงไปใต้ดิน จึงยังพบของเหลวหนืดสีดำพวยพุ่ง ออกมาจากที่ดินเอกชนแปลงนี้
[ปริมาณกากคาดการณ์ มี 30,000 ตัน แต่ขนออกไปกำจัดเพียง 3,000 ตัน]
“ตอนนั้นไม่ได้แจ้ง ไม่ได้แจ้ง เพียงแต่เราบอกว่า ให้กำจัดให้หมดนะครับ แต่เราก็ไม่แน่ใจ ว่าปริมาณเท่าไร เราจะมาเช็กปริมาณตอนที่นำส่งออกไป แล้วมีใบชั่งน้ำหนักการขนส่งกลับมา ก็จะประมาณ 3,000 กว่าตัน”
นี่เป็นคำชี้แจง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ของ สมชาย เถื่อนสุวรรณ์ ที่ถูกเผยแพร่ผ่านรายการ The EXIT Thai PBS ผู้ซึ่ง 3 ปีก่อน ดำรงตำแหน่งอุตสาหกรรม จ.ฉะเชิงเทรา แต่ต้องกลับมาตอบประเด็นความไม่ชอบมาพากล ซึ่งขุดพบพร้อมกากอุตสาหกรรม ที่ถูกลักลอบฝังเอาไว้ใต้ดินแบบเปลือยๆ ไม่เข้าตามหลักวิชาการใดๆ โดยคาดว่ามีปริมาณมหาศาลหลักครึ่งแสนตัน
โดยวงประชุมซักถามครั้งนั้น นำโดยหัวหน้าชุดปฏิบัติการสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ ซึ่งสอบถามอย่างตรงไปตรงมา ว่าในวันนั้น เจ้าของที่ดินได้แจ้งหรือไม่ว่า ส่งกากไปกำจัดเป็นปริมาณเท่าไร
ด้วยเหตุว่า ในหนังสือ ‘ร้องทุกข์กล่าวโทษ’ หรือเอกสารประกอบการแจ้งความ ของเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงวันที่ 12 กันยายน 2565 ได้ระบุว่า‘ เจ้าของที่ดินต้องนำกองกากอุตสาหกรรม หรือ สิ่งปฏิกูล หรือ วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว เช่น เศษปูน เศษจากการบดย่อยสายไฟ เศษยาง เศษตะกอน และดินปนเปื้อน…และของเหลวสีดำ มีกลิ่นคล้ายน้ำมันท่วมขัง เป็นจำนวนมาก บนเนื้อที่ 11 ไร่ โดยมีของเสียประมาณ 30,000 ตัน ไปบำบัดกำจัดให้เรียบร้อย’

ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด และเป็นไปตามโครงสร้างการแบ่งงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ต้องกำกับดูแลการดำเนินการตามคำสั่งดังกล่าว คือ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งตามสายการบังคับบัญชา สอจ. ไม่ได้สังกัดกรมโรงงานฯ แต่ขึ้นตรงกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ดี จากข้อมูลในเอกสารสรุปผล การกำจัดกากอุตสาหกรรมที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ส่งไปรายงานต่อปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2567 กลับระบุปริมาณของเสียรวมทั้งหมดที่เจ้าของพื้นที่ ขนย้ายออกไปบำบัดกำจัดตามคำสั่งว่า มีเพียง 3,608 ตัน
ในเอกสารฉบับดังกล่าว ได้ระบุอีกด้วยว่า การขนย้ายกากของเสียครั้งนี้ ‘มีใบกำกับการขนส่งของเสียกากอุตสาหกรรม (Manifest) ในทุกรอบการขนส่ง โดยได้แจ้งดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2567’ และประเด็นสำคัญอยู่ที่ท้ายเอกสาร ซึ่งรายงานความสำเร็จในการปิดภารกิจกำจัด ‘กาก’ ไว้ว่า
“ทั้งนี้ สอจ. ฉะเชิงเทราได้ลงตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ไม่ปรากฏสิ่งปฏิกูล หรือ วัสดุที่ไม่ใช้แล้วในบริเวณพื้นที่แต่อย่างใด และจะติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดกับสถานีตำรวจภูธรแปลงยาวต่อไป” ชื่อหลังข้อความ ‘จึงเรียนมาเพื่อทราบ’ คือ สมชาย เถื่อนสุวรรณ์ อุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา

[ของที่ขนออกไปบำบัด กลับเป็น ‘ของเสียที่ไม่เป็นอันตราย’]
นอกเหนือจาก ประเด็นเรื่องปริมาณของเสียที่นำออกบำบัด กับปริมาณที่มีการประเมินแตกต่างกันมาก กว่า 10 เท่าตัวแล้ว ในข้อมูลจากเอกสารฉบับเดียวกันนั้น ยังพบความย้อนแย้งในเรื่องคุณสมบัติของกากเสียด้วย
อธิบายให้เห็นภาพคือ ในขณะที่รายงานผลการตรวจสอบ ระบุว่าของเสียทั้งหมด เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายตามกฎหมาย แต่ของเสียที่ขนย้ายออกไปบำบัดกำจัด กลับมีการแยกได้เป็นของเสียอันตราย และของเสียที่ไม่เป็นอันตราย โดยที่สิ่งที่ขนออกไปส่วนใหญ่เป็น ‘ของเสียที่ไม่เป็นอันตราย’ เสียด้วยซ้ำ
เปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ คือ ข้อความในข้อสองของเอกสาร รายงานไว้ว่า “2. จากรายงานผลการตรวจ วัด วิเคราะห์ทดสอบ ตัวอย่างสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ตัวอย่างดิน และตัวอย่างน้ำ ข้างต้น ปรากฏว่าของเสียทั้งหมดเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 บัญชี 5.2 และบัญชี 5.6 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 เนื่องจากพบการปนเปื้อนของแคดเมียม ตะกั่ว ปรอท ไขมันและน้ำมัน และไฮโดรคาร์บอน”
แต่ในข้อ 4. ที่พูดถึงการขนย้ายของเสียในพื้นที่ ออกไปบำบัดกำจัด กลับระบุว่า “ปริมาณของเสียรวมทั้งหมด 3,608 ตัน ประกอบด้วยของเสียอันตราย (Hazardous Waste) ได้แก่ น้ำปนเปื้อนน้ำมัน ดินปนเปื้อน และของเสียปนเปื้อนที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ จำนวน 98 ตัน และของเสียที่ไม่เป็นอันตรายในพื้นที่ ได้แก่ เศษวัสดุที่เหลือจากการคัดแยก และของเสียอื่นที่ไม่สามารถระบุประเภทได้ จำนวน 3,510 ตัน”
ในสไลด์ประกอบการชี้แจง ของอดีตอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นำเสนอต่อหัวหน้าชุดปฏิบัติการสุดซอย ในวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ชี้แจงอีกด้วยว่า กากของเสียจำนวน 3,608 ตัน นำไปกำจัดกับบริษัทรับกำจัด 4 บริษัท คือ
- บริษัท A รับน้ำปนเปื้อนน้ำมัน จำนวน 17 ตัน
- บริษัท B รับดินปนเปื้อน จำนวน 81 ตัน
- บริษัท C รับของเสียไม่อันตราย จำนวน 2,703 ตัน
- บริษัท D รับของเสียไม่อันตราย จำนวน 807 ตัน
แต่ในการชี้แจงไม่ได้พูดถึง ส่วนต่างที่หายไปกว่า 26,392 ตัน ว่าอยู่ที่ไหน หรือถูกดำเนินการอย่างไร รวมทั้งไม่มีการซักไซ้ว่า “ของเสียที่ไม่เป็นอันตราย” โผล่มาจากไหน หรือถูกนิยามใหม่ตอนไหน อย่างไร ด้วยเหตุใด
[ย้อนดูภาพที่ดิน 11 ไร่ กับเบาะแสการเปลี่ยนแปลงที่พอเห็นได้]
สำหรับ ความจริงเรื่องการลักลอบประกอบกิจการของที่ดินแห่งนี้ จะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชน หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ในปี 2565 ทว่า จากการสืบค้นของมูลนิธิบูรณะนิเวศ พบว่า ที่ดินขนาด 11 ไร่แห่งนี้ มีการประกอบกิจกรรมที่น่าจับตา และมีเค้าลางชวนสงสัยมาตั้งแต่ปี 2556 แล้ว
จากภาพถ่ายทางอากาศ Google Earth ในปีนั้น ได้ปรากฏ ‘ของ’ ที่มีลักษณะสีขาวๆ ขึ้น และถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า จากที่ดินดังกล่าว ถัดขึ้นไปทางเหนือบริเวณที่เป็นลำราง ก็ปรากฏ ‘สิ่งที่ส่องประกายสีขาว’ ลักษณะเดียวกัน

แม้จะไม่มีการยืนยันว่า ‘ของสีขาว’ ที่เห็นนี้คืออะไร แต่จากการลงพื้นที่ เพื่อสำรวจพื้นที่ลักลอบฝังกลบกากของเสียในหลายๆ จุดที่ผ่านมา ของลักษณะสีขาวที่ปรากฏบนแผนที่เหล่านี้ เมื่อลงไปสำรวจจริงๆ จะพบความเป็นไปได้หลายอย่าง ทั้งถุงบิ๊กแบ็ค ซากกากอุตสาหกรรม รวมถึงคราบน้ำปนเปื้อน
กลับมาที่ Google Earth ที่แสดงภาพของที่ดินแห่งนี้จากมุมสูง พบว่า ในปี 2557 ‘ของสีขาว’ ที่ชวนสงสัย กลับอันตรธานหายไป

จนกระทั่งปี 2561 ถึง 2563 ที่ดินแห่งนี้ก็ได้กลับมามี ‘กองของ’ ทั้งสีขาวและสีดำกระจายตัวเกือบเต็มพื้นที่ อีกทั้งมีอาคารปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่บริเวณซึ่งเคยเป็นบ่อน้ำมีร่องรอยของการถูกถม เนื่องจากตั้งแต่ปี 2564 Google Earth ไม่มีภาพบันทึกพื้นที่บริเวณดังกล่าวไว้ มูลนิธิบูรณะนิเวศ จึงไม่สามารถตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในช่วงปีหลังๆ นี้ได้


สภาพที่ดินเอกชนแห่งนี้ในปี 2565 ภาพจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม
[ดินแดนมลพิษ เสี่ยงต่อการปนเปื้อนในวงกว้าง]
เป็นที่น่าเสียดายอีกเช่นกันว่า ในช่วงปี 2566-2567 ไม่มีภาพถ่ายของ Google Earth บันทึกพื้นที่แปลงดังกล่าวไว้ ทำให้ไม่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หลังเกิดประเด็นรับรู้ในวงกว้าง จึงไม่รู้ถึงสภาพพื้นที่ได้เปลี่ยนแปลงไป มีเพียงภาพในปี 2568 ที่เห็นว่า ที่ดินเป็นที่ว่างทั้ง 11 ไร่ ไม่มีอาคาร หรือ ‘ของ’ ใดๆ กองเหนือผืนดินแล้ว
ด้วยการลงไปขุดเจาะบ่อบาดาล ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นได้ว่า บนพื้นที่แปลงนี้ ไม่มีทั้งอาคารสิ่งปลูกสร้าง และข้าวของใดกองอยู่เหนือพื้นดินแล้ว
ทว่า เมื่อเครื่องขุดเจาะน้ำบาดาลเดินเครื่อง เจาะลึกลงไปใต้ผืนดินประมาณ 3 เมตร ของเหลวหนืดข้นสีดำก็พวยพุ่งขึ้นมา บ่งบอกให้รู้ว่ามีกากอุตสาหกรรมถูกฝังกลบอยู่เบื้องล่าง
หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายก อบต. หัวสำโรง ได้ลงพื้นที่พร้อมกับเจ้าหน้าที่ สอจ. ฉะเชิงเทรา ตามบันทึกของเจ้าหน้าที่ สอจ. ฉะเชิงเทรา ระบุไว้ในตอนหนึ่งว่า ‘พบกองกากอุตสาหกรรม และของเสีย เช่น เศษพลาสติกสีดำ เศษตะกอนสีดำ และดินปนเปื้อน คาดว่าจะมีปริมาณ 52,800 ตัน’
ปริมาณดังกล่าว เกิดจากการคาดการณ์ตามขนาดพื้นที่ ดังนั้น อาจไม่ใช่ตัวเลขที่ตรงตามความเป็นจริงเสียทีเดียว แต่เมื่อคำนึงถึงตัวเลขการประเมิน เมื่อช่วงปี 2565 ที่มีกว่า 30,000 ตัน โดยรวมแล้วก็ถือได้ว่า ที่นี่คือพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนขนาดใหญ่
อันที่จริงความน่ากังวลของดินแดนปนเปื้อนแห่งนี้ จากข้อมูลในช่วงเดือนกันยายน 2565 อาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13 ชลบุรี ในขณะนั้น ได้แสดงความห่วงใยเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าอาจอันตรายลงสู่แหล่งน้ำใต้ดิน
เนื่องจาก อาวีระ เล็งเห็นแล้วว่า ของเสียที่ปรากฏในพื้นที่ มีส่วนที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายที่มาจากการปนเปื้อนน้ำมัน บางส่วนเป็นโลหะ ไม่ว่าจะเป็นทองแดง เหล็ก แมงกานีส นิกเกิล ขณะที่ไม่มีการจัดการพื้นที่ในลักษณะการปูพลาสติกแต่อย่างใด ด้านผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม อบต. สำโรง ในขณะนั้น ได้เล่าถึงสภาพภูมิประเทศว่า พื้นที่เกิดเหตุนั้น คือ ต้นสายของแม่น้ำลำคลอง ที่มีปลายทางไหลลงไปยังแม่น้ำบางปะกง เพียงแต่มีระยะทางห่างกันพอสมควร ทว่า
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวแล้ว อาจส่งผลถึงกันได้ ขณะที่ผลกระทบระยะแรก คือ คุณภาพน้ำบ่อน้ำตื้นที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้อุปโภคบริโภค
[กากพิษอันตราย แต่มีบางสิ่งอันตรายกว่า]
ถึงตอนนี้ การขุดพบกากสารพิษ อาจเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของปัญหา เพราะประเด็นที่เป็นหลักใหญ่ใจความ อาจอยู่ที่ว่า กากอันตรายของเหลวสีดำ ที่พวยพุ่งอวดสายตาเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวบ้านในพื้นที่เหล่านี้มาจากไหน ซึ่งยังคงเป็นปริศนา
เพราะถ้ายึดตามรายงานของอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รายงานต่อปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ที่ว่า “ทั้งนี้ สอจ. ฉะเชิงเทราได้ลงตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ไม่ปรากฏสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วในบริเวณพื้นที่แต่อย่างใด” ที่ดินผืนนี้ต้องไม่เหลือกากอุตสาหกรรมอันตรายแล้วใช่หรือไม่
ดังนั้น ความเป็นไปได้ ถึงที่มาของกากอุตสาหกรรม อาจตั้งข้อสันนิษฐานได้หลากหลาย บ้างมองว่า ของเหลวสีดำ และกากอุตสาหกรรมที่ขุดเจอ เป็นกากเดิม ที่เจ้าของที่ดินขนออกไปไม่หมด เพราะถ้าดูจำนวนตัวเลขปริมาณของเสียที่ระบุในเอกสารราชการ 2 ฉบับ มีความขัดแย้งกันอยู่ ระหว่างการประเมินครั้งแรกมี 30,000 ตัน แต่รายงานตอนขนย้ายกลับระบุเพียง 3,608 ตัน ส่วนต่างที่เหลือหายไปไหน
ขณะเดียวกัน ของเหลวสีดำ และกากอุตสาหกรรมที่ขุดเจอ อาจเป็นของใหม่ที่ถูกลักลอบมาฝังเพิ่มเติม หลังเกิดประเด็นข่าวในปี 2565 ก็เป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่เกินจริงได้เช่นกัน
เช่นนี้เอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องรีบสอบสวน เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงโดยเร็ว เพราะถ้าเราย้อนดูในช่วงหลายปี ประเทศไทยมีกรณีไฟไหม้โรงงาน โกดังเถื่อนๆ ที่มีกากของเสียอันตรายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเกือบทุกกรณี เราจะเห็นภาพเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปออกคำสั่งให้เอกชนผู้เป็นเจ้าของกาก ต้องจัดการนำไปกำจัดบำบัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

อาจต้องย้ำอีกรอบ ที่ดินเอกชนแห่งนี้ กว่าจะเกิดเหตุไฟไหม้ในปี 2565 ไม่เคยมีใบอนุญาตประกอบกิจการอันใดเลย ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี สิ่งเหล่านี้รอดสายตาเจ้าหน้าที่รัฐที่กำกับดูแลไปได้อย่างไร จึงเป็นข้อสงสัยแรกเริ่ม
ประกอบกับ เกิดเหตุเพลิงไหม้ ผ่านไป 3 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐออกคำสั่งแล้ว แต่เพราะเหตุใด ใต้ดินยังมีกากอุตสาหกรรมคงอยู่ สุดท้ายประชาชนจะมั่นใจได้อย่างไร ว่ากากพิษเหล่านี้ถูกนำไปจัดการจริงๆ แล้วยังมีกรณี ‘ดินแดนมลพิษ’ ลักษณะนี้เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นอีกมากน้อยแค่ไหน
กรณีการพบจุดลักลอบฝังกากอุตสาหกรรมในฉะเชิงเทราครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาพร้อมๆ ของเหลวสีดำกลิ่นเหม็นฉุน คงเป็นคำถามต่อการกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ บางทีกระบวนการ และความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ อาจจะเป็นอันตรายยิ่งกว่ากากอันตรายที่ถูกขุดพบเสียอีก










