มากกว่าใช้เป็น ต้องอยู่ร่วมได้ คุยกับ ดร. สมเกียรติ TDRI ถึงการโต้คลื่น AI ในวันที่ ‘AI แห่งชาติ’ คือเรื่องเร่งด่วน

มากกว่าใช้เป็น ต้องอยู่ร่วมได้ คุยกับ ดร. สมเกียรติ TDRI ถึงการโต้คลื่น AI ในวันที่ ‘AI แห่งชาติ’ คือเรื่องเร่งด่วน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ในยุคปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเหล่าคนทำงาน ที่เผชิญการเปลี่ยนแปลงชัดกว่ากลุ่มอื่น ทั้งการใช้ AI เข้ามาช่วยทำงาน เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ว่า แล้วคนทำงานอาจถูกทดแทนด้วย AI มากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต

 

สำนักข่าว TODAY จึงชวนพูดคุยกับ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อร่วมหาทางออก พร้อมไขข้อสงสัยว่า ทักษะของ AI ที่เราควรเรียนรู้ให้ไว และตั้งแต่สถานศึกษา เพื่อให้จบมาพร้อมทักษะของการใช้ AI ให้เป็น

‘ใช้ AI เป็นนิดหน่อย’ สกิลใหม่ที่นายจ้างมองหา 

ดร. สมเกียรติ ยืนยันว่า ปัจจุบัน AI เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันมากขึ้น ผู้ประกอบการต้องบริหารธุรกิจไปพร้อมๆ กับการใช้ AI ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายวิจัย ออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 

จากข้อมูลประกาศหางานกว่า 220,000 งานในออนไลน์ ที่เป็นฐานข้อมูล  Big Data ของ TDRI เผยสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ในยุคนี้นายจ้างต้องการแรงงานที่ทักษะ AI อะไรบ้าง? ผลปรากฏว่า งานกว่า 7,000 งาน เป็นตำแหน่ง Data Scientist หรือ Data Analyst รองลงมาคือ Data Engineer หรือ System Engineer ที่มีประกาศหางานกว่า 6,000 ตำแหน่ง 

นอกจากนี้ ยังมี AI Engineer หรือ ML Engineer ที่เป็นงานที่ใช้ทักษะ AI ค่อนข้างสูง เหมือนเป็นคนสร้างระบบ สร้าง AI ขึ้นมาเอง มีการว่าจ้างงานในตำแหน่งนี้ไม่มากนัก แตกต่างจากกลุ่ม Data Scientist หรือ Data Analyst ที่เป็นกลุ่มคนที่ใช้ AI ในการทำงานเป็น เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด รวมไปถึง กลุ่มงานที่เป็นคนสอน AI  ทำงานอีกทีหนึ่ง โดยเป็นคนที่คอยป้อนข้อมูล คอยสอน AI ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร หรือควรพิมพ์ตอบโต้อย่างไร เป็นกลุ่มงานที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น แม้ว่าจะมีค่าแรงที่ไม่มาก แต่มีอิสระในการทำงาน ที่สามารถทำงานที่ไหนเมื่อไรก็ได้ จึงเริ่มมีความต้องการของงานนี้ในไทยมากขึ้น

“สำหรับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน AI โดยตรง ก็จะเป็นงานทั่วไป แต่นายจ้างจะบอกว่า คุณทำบัญชีคุณเรียนกฎหมาย คุณเรียนด้านการตลาดมาก็จริง แต่อยากให้ใช้ AI เป็นด้วยนิดหน่อย กลุ่มแรงงานแบบนี้เป็นกลุ่มแรงงานที่ใหญ่ที่สุด”

เริ่มต้นเรียนรู้ AI ตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน

คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ทักษะ AI ยิ่งเรียนรู้ได้เร็วยิ่งดี โดยในต่างประเทศ เช่น ประเทศฟินแลนด์ มีการเรียนการสอนเป็นขั้นตอน (algorhythm) ซึ่งเป็นรากฐานของ Data Science การวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับขั้นตอน ซึ่งสำคัญมากๆ ต่อการพัฒนา AI ในอนาคตให้กับเด็กๆ ในโรงเรียน เช่นเดียวกับ ประเทศจีน ก็เริ่มมีการสอนเในชั้นประถมศึกษา โดยมีการกำหนดอยู่ในหลักสูตรชัดเจน

ดร. สมเกียรติ ระบุว่า ประเทศไทยต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรทันสมัยสม่ำเสมอ อย่างที่รู้ว่า หลักสูตรไทยที่ใช้อยู่ค่อนข้างเก่า (หลักสูตรปี 2551 เทียบเท่าไอโฟนรุ่นแรก) จึงจำเป็นมากที่ต้องปรับให้ทันสมัยแบบ “ก้าวกระโดด” 

ด้วยหัวใจสำคัญ ไม่ใช่แค่เฉพาะทักษะ AI แต่ ดร. สมเกียรติ มองว่า คนไทยต้องทันโลก ทุกคนต้องอยู่ร่วมในโลกที่มี AI ได้ ต้องสามารถแยกได้ว่า อะไรจริง อะไรไม่จริง อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาล่าสุด ปี 2568 โดยเริ่มทดลองใช้สอนในบางโรงเรียนที่เป็นอาสาสมัครแล้ว หากเป็นไปได้ด้วยดีจะเริ่มปรับปรุง และใช้จริงทั่วประเทศ 

ทว่า กว่าจะถึงตอนนั้น ดร. สมเกียรติ มองว่า คงต้องมีการเตรียมการยกใหญ่ ทั้งทรัพยากรที่ต้องใช้เพิ่มอย่างมหาศาล ครูต้องเปลี่ยนวิธีการสอน สำนักพิมพ์ต้องเปลี่ยนเนื้อหาในการผลิตตำรา คนออกข้อสอบก็ต้องเปลี่ยนเนื้อหาข้อสอบ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไทยเราต้องเตรียมตัว และรมว.ศึกษาธิการ ต้องเอาจริงเอาจังให้มากกว่าเดิม 

ยิ่งกดดันว่า AI จะแย่งงาน ยิ่งต้องพัฒนา

ถึงตอนนี้ เชื่อว่าผู้คนจำนวนไม่น้อย อาจกังวลและวิตก ที่จะต้องเรียนรู้ วิธีการใช้ AI ซึ่งภาวะนี้อาจเกิดขึ้นกับวัยผู้ใหญ่ ที่หยุดการเรียนรู้ไปสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ ดร. สมเกียรติ แนะนำว่า สามารถเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับ AI จากสิ่งเล็กๆ ง่าย ๆ เพื่อค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยได้ เมื่อเราคุ้นเคยเราก็จะเริ่มเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจเราก็จะเริ่มรับมือกับ AI ได้

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เทคโนโลยีต่างๆ  ก็ค่อยๆ พัฒนา เพื่อเข้ามาช่วยมนุษย์ทำงานอย่างต่อเนื่อง จนกระทบต่อมนุษย์ไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่าง กรณีของธนาคารที่เปิด Early Retirement ให้พนักงานเกษียณก่อนเวลา เหตุผลอาจไม่ได้แค่เรื่องของการเอา AI มาช่วยทำงานแทน แต่อาจรวมกับเหตุผลอื่น เช่น เศรษฐกิจไม่ดี 

นั่นเท่ากับว่า AI ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานแน่นอน แต่ไม่ใช่เหตุผลทางด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มักมีปัจจัยแวดล้อมอื่นประกอบ

AI บีบให้คนต้องมีประสบการณ์ ถึงจะอยู่รอด 

ดร. สมเกียรติ เล่าว่า ตามที่เคยพูดกับผู้ที่ทำงานในซิลิคอน แวลลีย์ ดูเหมือนภาพรวมการเปลี่ยนแปลงในไทย กำลังค่อยๆ ทยอยปรากฏให้เห็น อย่างที่ บริษัทผู้นำทางด้านเทคโนโลยีหลายแห่ง ยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาล เพื่อซื้อตัวพนักงานระดับ ‘ทองคำ’ นั่นคือ บรรดา ผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของ AI ในขณะที่นักเขียนโปรแกรมที่เพิ่งเรียนจบ หรือมีประสบการณ์ทำงานน้อย กลับไม่ถูกจ้างงาน เพราะในส่วนงานนี้ถูก AI เข้าไปทำงานทดแทนไปแล้ว

ดังนั้น ตลาดแรงงานในบริษัทเทคโนโลยี จึงต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงงานที่ AI ยังไม่สามารถทำได้ เช่น การดูแลระบบ การติดต่อกับลูกค้า การวิเคราะห์ความเสี่ยง 

จากข้อมูล Big Data ของ TDRI เริ่มเห็นแนวโน้มคล้ายๆ กัน ว่า การประกาศหางาน ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ในการทำงานเริ่มน้อยลง บริษัทต้องการคนที่มีประสบการณ์ และมีทักษะในการทำงานมากขึ้น จึงทำให้เกิดความย้อนแย้งในตลาดแรงงาน ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ จึงส่งผลต่อ ‘เด็กจบใหม่’ ที่ต่างถูกคาดหวังประสบการณ์ ซึ่งเป็นเรื่องย้อนแย้งในความเป็นจริง

ดร. สมเกียรติ กล่าวว่า วิธีที่จะช่วยให้เด็กจบใหม่หางานได้ง่ายขึ้นในยุคนี้ คือ การฝึกงานที่เข้มข้นมากขึ้น เพิ่มทักษะในการทำงานจริงให้กับตัวเอง เพื่อเปิดโอกาสให้นายจ้างได้รู้จัก และจ้างงานหลังเรียนจบได้

นอกจากนี้ สำหรับระบบการศึกษา ในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ดร. สมเกียรติ ยังมองว่า ไม่ควรให้นักศึกษาต้องไปดิ้นรนหาที่ฝึกงานกันเอาเอง ควรมีระบบที่ช่วยสนับสนุนให้นักศึกษาได้ฝึกงานที่เข้มข้นมากขึ้น มากกว่าฝึกงานแค่ 1-2 เดือน ถึงตรงนี้ทุกคนคงต้องยอมรับให้ได้ว่า เราทุกคนต้องอยู่ร่วมกับ AI อยู่วันยังค่ำ

“ทุกอย่างมีอายุของมัน รวมถึงความรู้และทักษะที่เรามี ดังนั้นเราควรเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ยอมรับกับตัวเองว่าเราอาจจะไม่สามารถทำงานงานเดียวไปได้ตลอดชีวิต เพราะงานที่เราทำอาจจะเปลี่ยนไป เราจึงต้องหาทักษะใหม่ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา” ดร. สมเกียรติ กล่าวถึงคนทำงาน

ในอีกมุมหนึ่ง คนที่จะช่วยคนทำงานได้ คือ ‘นายจ้าง’ หากช่วยกระตุ้นให้พนักงานพยายามหาทักษะใหม่ๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อพนักงานได้ แถมยังวกกลับมาเป็นประโยชน์กับตัวนายจ้างเอง

แผน AI แห่งชาติ เอายังไงต่อ ? 

สำหรับ ใครที่อาจกังวลว่า AI จะฉลาดกว่ามนุษย์ ดร. สมเกียรติ แสดงความคิดเห็นว่า อย่างน้อยใน 20-30 ปีนี้น่าจะยังไม่เกิดปัญหานี้ แต่ถ้าไม่เรียนรู้เลยจะยิ่งน่าห่วง เพราะคุณจะถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง 

ยิ่งกว่านั้น คนที่ถูกหลอกลวงจากความสามารถของ AI และคนที่ใช้ AI โดยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI ไม่ดีพอ ก็จะยิ่งได้รับผลกระทบ เช่น เชื่อทุกอย่างที่ ChatGPT ตอบ คนกลุ่มนี้ก็จะน่าเป็นห่วง นี่เองทำให้ ดร. สมเกียรติ ชี้ไปถึงความผิดพลาดของ ‘แผน AI แห่งชาติ’ ที่ใช้กันมา 2-3 ปี แต่กลับล้าแล้ว 

ด้วยข้อบกพร่องเกิดขึ้นจากการวางแผนตั้งแต่ต้นที่ไม่ตรงเป้า เช่น คอร์สอบรมการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม ทั้งที่ ผู้ที่ต้องการใช้ AI เพื่อหลอกลวงคน ไม่มีทางเข้ามาอบรมในคอร์สนี้อย่างแน่นอน ดังนั้น คอร์สที่ควรเปิดอบรมจริงๆ คือ การสอนให้เรารู้เท่าทันคนที่จะใช้ AI ในทางที่ไม่ดี อย่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

นอกจากนี้ ดร. สมเกียรติ  มองว่า ประเทศไทยยังคงเน้นการสร้างระบบ AI ขึ้นมาใช้ แต่อันที่จริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องสร้างเองก็ได้ เพราะต่างชาติสร้าง AI ขึ้นมาให้ใช้แล้วมากมาย 

“เราไม่จำเป็นต้องสร้าง AI เผื่อแข่งกับคนอื่น แต่เราควรเอา AI ที่คนอื่นทำเอาไว้แล้ว มาประยุกต์ใช้ให้เก่ง มายกระดับประเทศให้ได้”

ยกตัวอย่าง การนำ  AI มาช่วยให้เด็กไทยได้เข้าถึงการเรียนรู้ต่างๆ ได้มากขึ้น หรือช่วยเพิ่มการแข่งขันในธุรกิจต่างๆ เช่น ช่วยออกแบบ ช่วยงาน QC สินค้าต่างๆ ดังนั้น แผน AI แห่งชาติจึงควรนำมาทบทวนใหม่ เพื่อให้เราได้โฟกัสให้ตรงจุด และมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานเพื่อพัฒนาประเทศไทย ให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ตามความเห็นของ ดร. สมเกียรติ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง