“เราจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ก้าวพ้นจากโคโรนาไวรัส”
นี่คือคำประกาศของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ถึงเป้าหมายของรัฐบาลในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19
ข้อมูลล่าสุดของวันที่ 17 มกราคม ระบุว่า อิสราเอลสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชากรไปได้แล้ว 27.1% เท่ากับว่าในชาวอิสราเอล 4 คน จะมี 1 คนที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีนเสียด้วยซ้ำ
การกระจายวัคซีนที่รวดเร็วเช่นนี้กลายเป็นที่จับตาของทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาวัคซีนภายในระยะเวลาสั้นๆ อัตราการฉีดให้กับประชากรต่อวันที่ทัดเทียมกับประเทศใหญ่ๆ รวมไปถึงการมองข้ามชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ในพื้นที่
เริ่มต้นที่กระบวนการจัดหาวัคซีน ที่ผู้นำอิสราเอลเป็นผู้ไปเจรจากับผู้พัฒนาวัคซีนด้วยตนเอง โดยเริ่มจากไฟเซอร์ ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ออกมาประกาศผลการทดสอบเบื้องต้น
นายเนทันยาฮูเปิดเผยถึงการเจรจาว่า เมื่อเขาขอพูดคุยกับซีอีโอของไฟเซอร์ อีกฝ่ายก็ตอบรับในทันที ปรากฎว่า อัลเบิร์ต เบอร์ลา มีความภาคภูมิใจในเชื้อสายกรีกและยิวของเขามาก หลังจากพูดคุยกันแล้ว นายเนทันยาฮูมั่นใจว่าจะสามารถทำสัญญากับไฟเซอร์ได้
หลังจากได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์และเริ่มฉีดให้กับประชากรแล้ว ทางอิสราเอลพบว่าอัตราการฉีดต่อวันยังทำได้อย่างจำกัด เนื่องจากวัคซีนตัวนี้ต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถฉีดได้ในสถานที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น
นั่นจึงเป็นเหตุที่อิสราเอลตัดสินใจนำวัคซีนจาก โมเดอร์นา (Moderna) เข้ามาใช้เพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลได้ด้วยเหตุผลบางประการ เพื่อเร่งความเร็วในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชากร
จนถึงวันนี้ อิสราเอลมีผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วกว่า 2.3 ล้านคน โดยที่ 255,260 คนนั้นได้รับวัคซีนทั้ง 2 โดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ทำให้อิสราเอลเริ่มมองหาหนทางที่จะผ่อนปรนการล็อกดาวน์ให้กับประชากรกว่า 2.5 แสนคนกลุ่มดังกล่าว ด้วยการอนุญาตให้ผู้ที่รับวัคซีน 2 โดสแล้วเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องกักตัวอีกต่อไป
การจัดการด้านวัคซีนที่มีประสิทธิภาพครั้งนี้ ทำให้ประชาชนบางส่วนที่แม้จะไม่พอใจรัฐบาล ก็ยังให้การยอมรับในระบบสาธารณสุขของประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทุกอย่างจะดูไปได้สวย แต่อิสราเอลอาจพบอุปสรรคในการรับมือกับโรคโควิด-19 อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งประเทศ คือชาวปาเลสไตน์ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อิสราเอลเข้าไปครอบครอง
การที่อิสราเอลเลือกฉีดวัคซีนให้เฉพาะชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นฝ่ายพยายามเข้าไปผนวกดินแดนดังกล่าว ทำให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอย่าง Human Right Watch ต้องออกมาเรียกร้องให้อิสราเอลเคารพอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 ที่ระบุว่า ต้องให้ความช่วยเหลือด้านเวชภัณฑ์ แก่พื้นที่ที่เข้าไปครอบครอง
นอกจากเหตุผลด้านมนุษยธรรมและข้อตกลงนานาชาติแล้ว หากมองในแง่ของสาธารณสุข การที่อิสราเอลหลีกเลี่ยงไม่ฉีดวัคซีนให้ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ ก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน
ต้องไม่ลืมว่าการฉีดวัคซีนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ที่เน้นให้ประชากรในพื้นที่มีภูมิคุ้มกันมากพอ ที่จะหยุดยั้งการระบาดของโรคได้
ต่อให้ชาวอิสราเอลได้รับวัคซีนทั้งหมด ก็ไม่ใช่เครื่องยืนยันในการป้องกันการติดเชื้อได้ 100% หากว่ายังปล่อยให้ประชากรกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มไร้ซึ่งภูมิคุ้มกันโดยสิ้นเชิง
บวกกับการที่วัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการพัฒนาจนถึงที่สุด ไม่มีใครรับรองได้ว่าภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นมา จะคงอยู่ไปได้ยาวนานเพียงใด
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เข้าข้างอิสราเอลอย่างออกหน้าออกตามากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อนๆ กำลังจะพ้นจากตำแหน่งแล้วในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การทำผิดข้อตกลงของสหประชาชาติในวันที่ไม่มีทรัมป์อยู่ในตำแหน่งแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อไป










