“ในหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็ต้องปกป้องลูก แล้วเหตุการณ์เมื่อวานพี่ใช้คำว่าอำมหิตเลยนะ รู้อยู่ว่าน้องไปที่โรงพัก แล้วการที่ออกประกาศทางข่าว มีการปลุกระดม มีการไลฟ์สดเรียกคนมาตลอดเวลา ถ้าคนไม่ใจอำมหิตทำไม่ได้ค่ะ อย่ามาบอกเลยว่ารักน้อง”
แม่ของ “เด็ก 8 ขวบ เชื่อมจิต” เปิดใจถึงเหตุการณ์ ที่สน.ทองหล่อ
ย้อนไปเมื่อวานนี้ (3 มิ.ย. 67) ครอบครัวที่สังคมโดยทั่วไปรู้จักเด็กชายวัย 8 ขวบ ในชื่อ ‘น้องไนซ์ เชื่อมจิต’ เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พิธีกรดัง ‘หนุ่ม-กรรชัย’ ก่อนกำหนดหมายเรียก ท่ามกลางความสนใจ อย่างกว้างขวางของทั้งเจ้าทุกข์ สื่อกระแสหลัก และอินฟลูเอนเซอร์มากมาย

ตั้งแต่ปี 2566 เรื่องเด็ก 8 ขวบที่มีแรงศรัทธาของผู้เลื่อมใสจำนวนหนึ่ง ถูกเปิดเผยพร้อมๆ กับการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและปลายทางของเงินรายได้ที่ไหลสะพัดเข้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านคอร์สต่างๆ ตัวเด็กถูกยกให้เป็น อาจารย์, ผู้นำลัทธิเชื่อมจิต
นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ในฐานะคณะทำงานตรวจสอบ กลั่นกรอง ข้อมูล ข่าวสาร และการกระทำอันอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา กล่าวเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา ว่าการเชื่อมจิตนั้น ไม่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก
“ในพระไตรปิฎกไม่มีนะครับ แต่ก็จะมีกลุ่มบุคคลหรือบุคคล พยายามที่จะบอกว่าในพระไตรปิฎกมี โดยพยายามเทียบเคียง ซึ่งการเทียบเคียงนั้นพยายามเทียบเทียงว่า ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้า ได้ตรัสหรือสนทนาธรรมกับพระอรหันต์ตลอดทั้งคืนทั้งวันนั้น คำถามตามมาก็คือว่า แล้วคนที่กล่าวอ้างว่า เชื่อมจิตนั้นคุณเป็นอรหันต์หรือเปล่า” นายบุญเชิด ระบุ (อ่านข่าวนี้ฉบับเต็ม คลิกที่นี่)
หนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งคำถาม คือ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
เนื่องจากระหว่างที่ครอบครัวนี้เดินออกจากโรงพักเพื่อขึ้นรถเดินทางกลับ ได้มีเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อห้ามไม่ให้เผยแพร่ใบหน้าและข้อมูลอื่นใดของเด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก
ดร.ชเนตตี ทินนาม อาจารย์ประจำภาควิชาการสื่อสารมวลชน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสภาพและเพศวิถีในงานสื่อ ให้ความเห็นว่า ข่าวที่มาด้วยความแตกต่างเรื่องความเชื่อ จะไปกระตุกการสร้างความเกลียดชังในสังคม รวมทั้งความรุนแรงได้ง่ายกว่าประเด็นอื่นๆ
“ไม่ว่าเด็กเขาจะมีทัศนะและมุมมองต่อโลกที่แตกต่างออกไปจากผู้ใหญ่อย่างไรก็แล้วแต่ ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ในหลักการสิทธิเด็กจะบอกว่าพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ และเป็นสื่อด้วยมีหน้าที่ต้องรับฟังเด็กว่าเขาเชื่ออะไร… แต่สื่อ รวมทั้งสังคมจะต้องไม่เข้าแสวงหาผลประโยชน์จากความเชื่อที่แตกต่างตรงนั้นของเด็ก”
อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเด็กถึงแม้จะมีเสรีภาพอะไรต่างๆ มากมายก็แล้วแต่สามารถทำได้ แต่ก็จะต้องได้รับการพิจารณาตามสมควร ตามหลักเหตุและผล โดยอายุและวุฒิภาวะของเด็ก ตรงนี้ครอบครัว สังคม และสื่อต้องช่วยกันประเมินเสรีภาพ อย่างไม่ไปตัดสิน ตีตรา ให้คุณค่าในเชิงบวกเชิงลบต่อเสรีภาพของเด็ก
ดร.ชเนตตี ยังให้ความเห็นถึงการนำเสนอข่าวที่มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องว่า สิ่งที่สื่อต้องตระหนัก คือ เราต้องหลีกเลี่ยงไม่ทำให้ภาพของเด็ก กลายเป็นวัตถุของการใช้ความรุนแรง และสร้างความเกลียดชัง เพราะฉะนั้นในกรณีนี้คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่สื่อจะต้องพิสูจน์อะไรในตัวเด็กอีกแล้ว เพราะไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะต้องให้ความรัก ให้การโอบกอดกับเด็ก และเชื่อว่า ถ้าเด็กมีอิสระมากเพียงพอ เขาจะค้นพบด้วยตัวเองว่า อะไรคือข้อเท็จจริง และอะไรคือความเห็นที่เป็นจริงสำหรับตัวเขา สื่อต้องให้เวลาเด็กในการเติบโต และยึด ‘กฎทองคำ’ คือ สื่อต้องปฏิบัติกับเด็กทุกคน เหมือนกับลูกของตัวเอง
นอกจากนี้ วันนี้ (4 มิ.ย. 67) พ่อแม่ได้พาเด็ก 8 ขวบ เดินทางไปที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กระทรวง พม.) เพื่อขอให้พม. มีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กจากการถูกใส่ร้าย
แต่ทางนางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ออกมาเปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับพ่อแม่ ได้มีคำสั่งให้ยุติการนำลูกไปแสวงหากำไร ให้คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของเด็กเป็นหลัก ซึ่งทางพ่อแม่ รับปากว่าจะดูแลเด็กเป็นอย่างดี










