“ตอนเช้าครูมาดูเนอะ มันสะท้อนใจมาก หนังสือลอยเต็มไปหมดเลย เก้าอี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันลอยไปหมด แล้วก็เป็นน้ำโคลน” คำบอกเล่าถึง สภาพของห้องสมุดที่ถูกน้ำท่วม จนยากจะนึกถึงความเสียหาย ถูกถ่ายทอดผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ จาก ชโลมใจ ชยพันธนาการ หรือ ครูต้อม
เธอเล่าย้อนถึงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เมืองน่านจมบาดาล ด้วยมวลน้ำสีน้ำตาลโคลน “ท่วมหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมา” ข้อความนี้ ถูกเผยแพร่จากเพจ ‘Banban Nannan library and guest home’ ห้องสมุด ร้านหนังสือ ร้านกาแฟ และที่พักเล็กๆ อายุร่วม 13 ปี ที่ตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจของเมืองน่าน ห่างจากวัดภูมินทร์ ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ‘ปู่ม่าน ย่าม่าน’ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร
บ้านไม้สองชั้นแห่งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ถูกจัดกิจกรรมทางศิลปะและเสวนามานับไม่ถ้วน จนเป็นที่รู้จักและให้ความหมายในแง่มุมนี้ แต่สำหรับ ครูต้อม นี่คือ ‘บ้าน’ ที่เธออยู่อาศัยกับแม่
เธอเริ่มต้นเล่าด้วยเสียงเรียบๆ ว่า เท่าที่ประเมินด้วยตา คิดว่าความเสียหายทั้งหมดน่าจะร่วมๆ 95% และยังไม่แน่ใจว่าต้องจัดการฟื้นฟูอย่างไรบ้าง “ถ้าไม่มีใครมาช่วยเหลือ ครูก็คงค่อยๆ ทำอะไรไปด้วยตัวเอง ค่อยล้างไป ค่อยๆ อะไรไป”

ภาพ Banban Nannan library and guest home
ผ่านมาราวสัปดาห์ สถานการณ์ จ.น่าน ณ วันที่ 30 กรกฎาคม เข้าสู่ระยะฟื้นฟูในหลายพื้นที่ หลังระดับน้ำลดลงรายชั่วโมง อย่างไรก็ดี ยังมีหลายพื้นที่ทางผ่านน้ำที่ยังต้องรองรับมวลน้ำที่รอการระบายจากพื้นที่สูงกว่า
โดย ข้อมูลจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ระบุว่า ให้เฝ้าระวัง ระดับน้ำในแม่น้ำน่าน ทั้งในอ.ท่าวังผา อ.กูเพียง และอ.เวียงสา อีกทั้งปริมาณน้ำฝนสะสมย้อนหลัง 24 ชั่วโมง ประเทศไทยมีฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง กระจายตัวทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยสองจังหวัดที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดคือ บริเวณเชียงราย 127 มิลลิเมตร น่าน 112 มิลลิเมตร
[เทินของสูงสุดแรงแล้ว แต่ไม่พ้น]
ย้อนไปช่วงสาย วันที่ 23 กรกฎาคม ครูต้อม เล่าว่า นับตั้งแต่มีข่าวพายุวิภา เธอและคนในชุมชนวัดมณเฑียร ต่างก็เตรียมเก็บของไว้ในที่สูงกันหมด เพราะเคยมีประสบการณ์จากปีก่อนมาแล้ว
กระทั่งตกเย็น ท่อระบายน้ำหน้าบ้าน เริ่มมีน้ำล้นขึ้นมา นับเป็นสัญญาณไม่ดีแล้ว ว่าตัวบ้านไม่น่ารอด “ทีนี้มันก็เข้ามาเรื่อยๆ แต่ครูก็ยังอุ่นใจอยู่ ถึงเขาบอกว่ามันจะมากกว่าปีที่แล้ว แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะมากกว่านั้น”
สุดท้ายน้ำก็เริ่มขยับเข้าถึงพื้นห้องสมุด พื้นที่ขายหนังสือ จุดอ่านหนังสือ ถึงตอนนั้น ครูต้อมรู้ดีว่า ทำไม่ได้ไปมากกว่านี้แล้ว เพราะสองแรงของครูและแม่ เหน็ดเหนื่อยมาก จากการเก็บของมาสองวันติด แถมยังมีอาการบาดเจ็บบริเวณหลังเป็นอุปสรรคใหญ่
“เราอยู่กับแม่สองคนไง ก็มั่นใจว่าตัวเองเก็บข้าวของพ้นทุกสิ่ง ในบ้านทั้งสองหลัง ทั้งหนังสือ ทั้งเสื้อผ้า ทั้งเครื่องเสียง ที่นอนเราเทินบนโต๊ะสูงกันหมดแล้ว”
กระทั่งสัญญาณเตือนภัยดังสนั่นไปทั้งชุมชน ราว 4 ทุ่ม ของวันนั้น น้ำเริ่มท่วม ไฟเริ่มดับ แต่สัญญาณโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต ยังใช้งานได้ จึงยังสามารถติดตามข่าวจากเพจของหน่วยงานต่างๆ แล้วภายในชั่วข้ามคืน เธอ แม่ ลูกค้าชาวต่างชาติ 5 คน ลูกค้าคนไทย 2 คน รวมทั้งหมด 9 ชีวิต ก็กลายเป็นผู้ประสบภัยเต็มรูปแบบ ติดอยู่บนบ้านไม้สองชั้น
“สุดท้ายคืนนั้น เราก็หวัง(น้ำ)มันจะไม่ขึ้นไปเลยกว่าที่เราเก็บของ แต่ปรากฏมันสูงกว่าที่เราเก็บของ”

ภาพจาก Banban Nannan library and guest home
[อยู่อย่างไร้ไฟฟ้า และข้อมูลรัฐยังไม่ชัดเจน]
ในตอนนั้น ที่พึ่งของ ครูต้อมและเพื่อนบ้าน หนีไม่พ้นเพจของหน่วยงาน แต่ก็มีข้อมูลหลายส่วนก็เป็น ‘ตัวเลข’ ที่เข้าใจได้ยาก
“เรารู้สึกว่าบางอย่างเราอ่านไม่ออก ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร เราไม่ใช่คนทำงานด้านนี้ เราไม่เข้าใจหรอกว่าสูงขนาดนี้ คือเดือดร้อนขนาดไหน ไม่เข้าใจ เลยต้องมาทำความเข้าใจ ณ วันนั้น เข้าใจถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง มันไม่ถูกแปลงมาเป็นภาษาชาวบ้าน มันเป็นภาษาศัพท์เฉพาะทั้งนั้นเลย”
อย่างไรก็ดี ครูต้อม เข้าใจถึงสถานการณ์วิกฤตตรง เพราะรู้ดีว่านานไม่เคยเจออุทกภัยหนักเช่นนี้มาก่อน องค์กรต่างๆ พยายามช่วยกันจัดการ เธอใช้วิธีปีนหลังคามารับอาหาร จนถึงขั้นพูดติดตลก ว่าตอนนี้เชี่ยวชาญเรื่องปีนหลังคาเพิ่มขึ้นมา
ในช่วงที่สถานการณ์ยากลำบาก ครูต้อม ปีนหลังคาไปบ้านญาติเพื่อรับอาหาร และใช้ไฟชาร์จแบตเตอรี่ บางวันได้รับแจกอาหารเพียงหนึ่งมื้อ ก่อนที่สถานการณ์เริ่มคลี่คลายเมื่อเข้าวันที่สาม
[‘ข่าวสงครามกลบ’ น้ำท่วมจึงมืดมิดเรื่องข่าวสาร]
“น้ำมันท่วมไปแล้ว เสียหายกันไปแล้ว สิ่งที่ต้องช่วยกันคิดมากๆ ตอนนี้คือการแก้ไขฟื้นฟูถัดจากนี้ ซึ่งมีผู้ประสบภัยจำนวนมหาศาล”
วรพจน์ พันธุ์พงศ์ นักเขียน ซึ่งเป็นอีกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองน่าน เล่าย้อนถึงช่วงต้นที่เกิดน้ำท่วม เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งที่บ้านของเขาห่างจากกลางเมือง ราว 5 กิโลเมตร แต่ในช่วงน้ำท่วม “ปัญหาหลักคือพอน้ำท่วม ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต สัญญาณพังหมด แล้วมันไปบวกกับสงคราม”
วรพจน์ เล่าว่า เท่าที่จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การรับรู้ส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่ของข่าวสงคราม จะว่าเป็นคราวซวยของคนน่าน ตามคำเปรียบของเขา
“จมน้ำก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว อย่าให้ข่าวสารจมหาย จนคล้ายว่าเราไม่ได้อยู่บนแผ่นดินเดียวกัน”
วรพจน์ เล่าอีกว่า ในความเป็นจริง หลังจากได้ยินคำว่าพายุวิภา และภาคเหนือจะได้รับผลกระทบ ชาวน่านก็เตรียมตัวอย่างดีเท่าที่จะทำได้ ทางการก็ประเมินว่าน่าจะรับไหว แต่มันเกินสุดวิสัยไปมาก ชาวบ้านแทบไม่มีใครประมาทกับน้ำท่วมครั้งนี้
“ต่อให้คนเตรียมการดี มันเกินสุดวิสัยไปมาก บ้านใครมันจะมี 2 ชั้น 3 ชั้นทุกคน คุณเตรียมอย่างไรให้ตายยังไง มันก็เตรียมได้ประมาณหนึ่งมนุษย์อะ”

ภาพ Banban Nannan library and guest home
[น้ำท่วมน่าน 2568 ทำลายทุกสถิติ]
อุทกภัยใหญ่ ในพื้นที่ จ.น่าน ครั้งนี้ ถูกหลายฝ่ายประเมินว่า นี่เป็นอุทกภัยใหญ่ที่ทำลายทุกสถิติในช่วงหลายสิบปี มวลน้ำมหาศาลไหลบ่าเข้าท่วมใจกลางเมือง และบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำ ที่แม่น้ำน่านไหลผ่าน โดยเฉพาะในส่วนของเทศบาลเมืองน่าน มีเนื้อที่ 7.6 ตารางกิโลมตร 31 ชุมชน ต่างได้รับความเสียหายกันทุกหย่อมหญ้า
จนถึงตอนนี้ เทศบาลเมืองน่านได้ รายงานว่าทุกภาคส่วนต่างเร่งช่วยกันทำความสะอาด ฟื้นฟูเมือง คาดว่าจะใช้เวลากว่า 3 สัปดาห์
“7 วันแล้วนะครับ ที่มีพายุวิภาเข้ามา ตั้งแต่วันที่ 22 ถึง 27 ซึ่งเราก็ได้รับกระทบเป็นจำนวนมาก ทั้ง 12 อำเภอของน่านเราได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก”
แม้ตอนนี้วิกฤตน้ำท่วมที่เกิดจาก ‘พายุวิภา’ จะพัดผ่านพ้นไปแล้ว ทว่า ชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ ผู้ว่าราชการ จ.น่าน ยังมองว่าต้องเฝ้าระวัง เพราะร่องมรสุมความกดอากาศต่ำ ที่ยังคงส่งผลให้น่านมีฝนตกหนักในบางพื้นที่
“หลังพายุวิภาเราได้พักแค่วันเดียวเองครับ ในวันที่ 26-28 มีร่องมรสุม ความกดอากาศต่ำอีกลูกหนึ่งเข้ามาอีก ทำให้มีฝนตกหนักในพื้นที่ แล้วก็มีน้ำล้นตลิ่ง แล้วมีน้ำเข้าท่วมบ้านเรือนพี่น้องคนน่านเรา เป็นครั้งที่ 2 ตอนนี้เราก็ยังอยู่ในช่วงที่ร่องมรสุมพัดผ่าน จ.น่านอยู่ ยังไงก็ขอให้ติดตามสถานการณ์กันตลอดนะครับ”
ด้าน สุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ผ่านเพจเทศบาลเมืองน่านไว้ว่า จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่อายุ 100 ปี ต่างเล่าว่าไม่เคยพบเจอน้ำท่วมหนักเท่านี้มาก่อน เช่นเดียวกับข้อมูลตามการบันทึก
อย่างในปี 2549 สถิติที่บันทึกไว้คือระดับสูงสุดที่ 7.42 เมตร ในส่วนน้ำท่วมปีนี้ช่วงที่หนักสุดบันทึกไว้ 9.49 เมตร “น้ำท่วมในรอบพันปีนะครับ บางคนเกิดมาอายุ 100 ปี คุณปู่คนคุณย่าเขาเล่าให้ฟัง บอกไม่เคยเห็นสภาพน้ำท่วมแบบนี้ตั้งแต่เกิดมา”
นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ยอมรับว่า หลายฝ่ายได้พยายามบริหารจัดการช่วยเหลือให้ครบถ้วนที่สุด ได้เตรียมการตั้งแต่ก่อนเกิดน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งเครื่องสูบ การวางแผนเปิดปิดประตูระบายน้ำ ทำผนังกั้นน้ำ รวมไปถึงการอพยพคนเจ็บคนป่วย กลุ่มเปราะบางออกจากจุดเสี่ยงก็ได้พยายามอย่างเต็มที่

ภาพ Banban Nannan library and guest home
ตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ได้มีการสูบระบายน้ำอยู่ตลอดเวลา แต่ผู้ประสบภัยอาจจะมีปัญหาเรื่องการใช้น้ำประปาบ้าง เพราะคนแย่งกันใช้น้ำ และไฟฟ้าบางจุดอาจจะยังจ่ายไฟไม่ได้
สำหรับ ข้อกังวลของประชาชนในเรื่องฝาย และระบบระบายน้ำ ว่าปัจจุบันมีอยู่จำนวน 5 ช่อง นั้น นายกเทศมนตรีเมืองน่าน รับว่า ถ้าเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันคิดว่ามีขนาดเล็กเกินไป อาจต้องถึงเวลาขยายประตู หรือทำช่องน้ำระบายน้ำฉุกเฉิน เพื่อที่จะได้ผลักดันน้ำออกไป เพื่อให้ไปถึงเขื่อนสิริกิติ์ได้เร็วขึ้น
“ช่องระบายน้ำจำนวน 5 ช่อง พวกเรามีความเห็นว่ามันเล็กเกินไป ช่องละ 9.50 เมตร รวมแล้วมีช่องทางที่น้ำผ่านได้แค่ 47.50 เซนติเมตร มันไม่พอสำหรับลำน้ำที่กว้างประมาณ 200-300 เซนติเมตร”
สุรพล มองว่า ปัญหาเรื่องน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการระบายน้ำไม่ทัน เหตุเกิดจากมีประตูระบายน้ำน้อยเกินไป และไม่มีช่องทางระบายน้ำฉุกเฉิน
“น้ำใต้ถุนบ้านหมดแล้ว เหลือแต่ขี้โคลนกับซากปรักหักพัง” ถึงคราวน้ำลด ครูต้อม บอกเล่าถึงสภาพห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ ที่เธอรัก ที่ต้องเริ่มล้างบ้านและฟื้นฟูพื้นที่ ไม่ต่างจากชาวน่านหลายพันชีวิต ที่ตอนนี้มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
แม้หลังเกิดเหตุน้ำท่วม เพื่อนๆ กลุ่มร้านหนังสืออิสระจะติดต่อเข้ามาถามความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้เธอต้องประเมินก่อนว่าความเสียหายเท่าไร แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเกือบๆ 100%

ภาพ Banban Nannan library and guest home
เหมือนทุกครั้ง น้ำท่วมว่าหนักแล้ว ล้างบ้านอาจหนักกว่า สถานการณ์คนในชุมชนบ้านมณเฑียรที่เธออยู่อาศัย ล้วนแล้วเป็นกลุ่มเปราะบาง มีทั้งคนแก่ คนพิการ คนป่วย
“อยากได้การช่วยเหลือที่สุด ครูอยากได้คนช่วยล้างบ้านที่สุดเลย แต่ครูไม่มีกำลังทำอาหารเลี้ยงอะไรนะ มาช่วยเราโดยที่เราไม่มีอะไรตอบแทนให้เลย แต่มาพักที่บ้านเราได้”
ภาพกองหนังสือจำนวนมหาศาลจมโคลน ซึ่งแต่ละเล่มก็หายากตามกาลเวลา เป็นภาพสะท้อนหนึ่งของความเสียหายจากอุทกภัยเมืองน่านครั้งนี้ ที่กระทบทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน แต่จะทำอะไรได้ไปมากกว่าเร่งฟื้นฟู เช่นที่ครูต้อม โพสต์ภาพถุงขยะจำนวนมากที่ผ่านการเก็บซาก ออกจากห้องสมุดและบ้าน ด้วยข้อความที่ว่า “ทิ้ง ทิ้งกันไปฉันจะคงจะหลงลืมเธอสักวัน จากกันไปใช่ว่าไม่ร้าก”










