ทำความรู้จัก Nepo Baby ลูกคนนี้ ได้ดีเพราะมีพ่อแม่? ‘Nepotism’ รากลึกทุกแวดวงสังคมโลก

ทำความรู้จัก Nepo Baby ลูกคนนี้ ได้ดีเพราะมีพ่อแม่? ‘Nepotism’ รากลึกทุกแวดวงสังคมโลก

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า ‘Nepo Baby’ กลายเป็นคำที่เราได้ยินผ่านหูกันบ่อยๆ และครั้งล่าสุด เมื่อหนุ่มสาวเนปาล ลุกขึ้นสู้กับอภิสิทธิ์ชน  พร้อมคำถามใหญ่ “ทำไมลูกหลานนักการเมืองถึงได้อภิสิทธิ์ ขณะที่คนรุ่นใหม่ต้องติดอยู่กับอนาคตที่มืดมน?”

 

ย้อนไปในโลกออนไลน์ ทั้งบทความข่าวบันเทิง หรือแม้แต่บทสนทนาในวงเพื่อนฝูง เรื่องราวของลูกหลานเซเลปดารา นักธุรกิจ และนักการเมืองคนดัง ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ ถูกยิบยกมาถกเถียงบ่อยครั้ง 

แล้วแท้จริง Nepo Baby คืออะไร และทำไมคำนี้ถึงกลายเป็นประเด็นร้อน พวกเขาโดนต่อว่าเพราะความอิจฉาจริงไหม หรือการเติบโตของ Nepo Baby สะท้อนปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้น  Bizview Bling จากสำนักข่าว TODAY ชวนหาพูดคุยกัน ว่าสิ่งนี้ เป็นพรหรือคำสาปกันแน่

[ ย้อนรอย Nepotism และ Nepo Baby ]

Nepo Baby มาจากคำว่า Nepotism ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก ภาษาลาตินคำว่า ‘nepos’ เนปอส แปลว่า หลาน หรือ ญาติ

Nepotism เลยหมายถึง การใช้อำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือเอาญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกให้ได้งาน โอกาส หรือได้ผลประโยชน์ต่างๆ โดยที่ไม่คำนึงถึงความสามารถ หรือคุณสมบัติของคนๆ นั้นเป็นหลัก

นี่เลยเป็นที่มา ของคำว่า nepotism Baby ที่แปลเป็นไทยง่ายๆ คือ เด็กเส้น และภายหลังคำว่า nepotism ก็ถูกย่อเหลือ nepo baby นั่นเอง โดยกรณีของ nepo baby มีตัวอย่างให้เห็นเกือบทุกแวดวง แต่ที่เป็นประเด็นถูกพูดถึงบ่อยๆ หนีไม่พ้น ธุรกิจ การเมือง รวมถึงวงการบันเทิง 

[ สปอร์ตไลต์ส่องถึง ‘วงการบันเทิง’  Nepotism ที่หยั่งรากลึก ]

คงไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความมากน้อย แต่วงการบันเทิง อาจจะเป็นพื้นที่ที่ Nepotism เห็นได้ชัดที่สุด  ภายใต้ ‘คอนเนกชั่น และ ‘ชื่อเสียง’ มีความสำคัญอย่างมาก การรู้จักผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ หรือเอเจนต์ที่ถูกคน สามารถเปิดประตูโอกาสได้มากกว่าการไปออดิชั่นทั่วไป เราถึงได้เห็นลูกหรือหลานของดาราดัง นักร้องแห่งยุค หรือผู้กำกับภาพยนตร์ตัวท็อป ได้รับบทหลักในหนังบล็อกบัสเตอร์ หรือสัญญาเรคคอร์ดกับค่ายใหญ่ง่ายกว่าคนทั่วไปมาก

อย่างที่ Jaden Smith ลูกของ Will Smith เดบิวต์ในฐานะนักแสดงครั้งแรก ด้วยการรับบทนำในภาพยนตร์ที่เข้าชิงออสการ์ และ Golden Globe อย่าง The Pursuit of Happyness โดยรับบทเป็นลูกชายของตัวเอก คือพ่อของเขาเอง Will Smith หรือที่  Lilly-Rose Depp ลูกสาวของ Johnny Depp และ Vanessa Paradis นักร้อง นักแสดง และนางแบบชาวฝรั่งเศส

ที่เอาเข้าจริง เธอเองก็ผ่านการออดิชั่น และพยายามฝึกฝน พัฒนาฝีมือของเธอเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การเป็นลูกของพ่อแม่ที่มีชื่อเสียง เป็นส่วนช่วยและคะแนนบวกในชีวิตการงานของเธอไม่น้อย โดยเฉพาะในวงการนางแบบ ที่เธอได้รับเสียวิจารณ์จากการที่มีความสูงเพียง 165 เซนติเมตร 

นอกจากดาราหน้ากล้องแล้ว Nepotism ยังลามไปถึงคนเบื้องหลังด้วย แน่นอนว่าหนึ่งในครอบครัวที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการบันเทิง คือครอบครัว Coppola ของผู้กำกับ Francis Ford Coppola เขาสร้างชื่อจากการกำกับ และร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Godfather และการเติบโตในครอบครัวคนทำหนัง ก็เป็นทั้งการบ่มเพาะ และกรุยทางให้กับ Sofia Coppola ลูกสาว ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับดัง

[ Nepotism ในวงการธุรกิจ และการเมือง ]

Nepotism ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงการบันเทิง ในโลกธุรกิจ เราเห็นการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ที่ลูกๆ เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ โดยไม่ต้องผ่านการแข่งขันกับคนนอก อย่างเกาหลีใต้ ที่มีครอบครัวแชบอลต่างๆ เช่น ซัมซุง และตระกูลอื่นๆ เช่นเดียวกับหลายครอบครัวในประเทศไทย

การเมืองก็เป็นอีกเวทีที่ Nepotism แสดงตัวได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ตระกูล อย่าง Kennedy, Bush, และ Clinton ในอเมริกา 

ตัวอย่างชัดเจนจากตระกูล Bush ที่มีทั้งพ่อและลูก ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี หรือตระกูล Clinton ที่ฮิลลารี คลินตัน สามารถสร้างเส้นทางการเมืองของตัวเอง ส่วนหนึ่งเพราะชื่อเสียงของ บิล คลินตัน ด้วย 

เอเชียก็เช่นเดียวกัน สิงคโปร์มี Lee Hsien Loong ลูกชายของ Lee Kuan Yew ผู้ก่อตั้งและนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ คนที่ 3 ขณะที่ฟิลิปปินส์ เราเห็น Bongbong Marcos ลูกชายของอดีตเผด็จการ Ferdinand Marcos กลับมามีบทบาทสำคัญในการเมืองในฐานะประธานาธิบดี 

ทว่าตัวอย่างที่สุดโต่งของ Nepotism ทางการเมือง คงหนีไม่พ้น ‘เกาหลีเหนือ’ ที่ระบบการปกครอง แบบสืบทอดทางสายเลือด ถูกตั้งเป็นรากฐานของประเทศ ตั้งแต่ คิม อิล ซุง ผู้ก่อตั้งประเทศ สืบทอดอำนาจให้ คิม จอง อิล ลูกชาย และต่อมา คิม จอง อึน หลานชาย ก็ขึ้นสู่อำนาจ ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 โดยทุกวันนี้เขาก็ยังครองใจประชาชนเกาหลีเหนือ ด้วยคะแนนเสียง 100% ในการเลือกตั้งปี 2014 และทำคะแนนสูงต่อเนื่องในปี 2019 กับบัตรเลือกตั้งที่เพียง 1 ชื่อให้เลือก

รวมถึงจีนแผ่นดินใหญ่ แม้จะเป็นระบบคอมมิวนิสต์ ที่เน้นความเท่าเทียม แต่ก็มี ‘Princelings’ หรือ “太子党” (ไท้จื่อตัง) คือลูกหลานของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนระดับสูง ในยุคก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม  ช่วงก่อนปี 1966 โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ Princelings โดยสายเลือด นั่นคือ ลูกชาย หรือ ลูกสาว ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรค

อย่าง สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของประเทศ ที่ดำรงประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประธานคณะกรรมาธิการทหารกลาง ก็เป็นลูกชายของ สี จงซุน หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และอดีตรองนายกรัฐมนตรี

ขณะที่อีกรูปแบบ คือ Princelings โดยการสมรส ที่ลูกเขยหรือสะใภ้ของเจ้าหน้าที่ สามารถขึ้นสู่อำนาจได้เช่นกัน

วกกลับมาประเทศไทย เราเห็นการสืบทอดอิทธิพลทางการเมืองในหลายครอบครัว ทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ ลูกหลานของนักการเมืองรุ่นเก่า มักจะมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัคร หรือได้รับตำแหน่งสำคัญต่างๆ ง่ายกว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานทางการเมือง แม้ว่าจะมีการศึกษา และประสบการณ์ไม่แตกต่างกันมากก็ตาม

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในวงการการเมือง การมี ‘นามสกุล’ ที่คนจำได้ กลายเป็นประโยชน์ในการหาเสียง เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มักจะเลือกชื่อที่คุ้นเคย แม้ว่าตัวผู้สมัครอาจจะไม่ได้มีนโยบาย หรือวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นแต่อย่างใด

[ ‘พฤติกรรม’ ฝังรากในประวัติศาสตร์ทุกสมัย ]

ถึงตอนนี้ ไม่ว่าหันไปทางไหน ประเทศอะไร เราก็จะได้เห็น Nepotism อยู่เต็มไปหมด นี่เป็นเพราะว่า Nepo Baby ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสมัยใหม่ แต่เป็นพฤติกรรมที่ฝังรากลึก ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ทั้งในแง่ชีววิทยา วัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง

เว็บไซต์ Britannica ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ในแง่หนึ่ง Nepotism อาจจะถือเป็นสิ่งจำเป็นทางชีววิทยา สำหรับสัตว์สังคมหลายชนิด รวมถึงมนุษย์ยุคแรกด้วย อย่างการคัดเลือกโดยธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Kin selection ก็มีความคล้ายกับ Nepotism เพราะเป็นการคัดเลือกโดยญาติ ที่สัตว์บางชนิดยอมเสียสละตนเอง เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอดทางพันธุกรรมของญาติพี่น้อง ช่วยให้กลุ่มที่เกี่ยวพันทางสายเลือด มีแนวโน้มรอดชีวิต และสืบพันธุ์ได้มากขึ้น

ยิ่งกว่านั้น กรณีของมนุษย์ การสร้างพันธมิตรจากเครือญาติ ก็ช่วยส่งเสริมความผูกพันระหว่างรุ่น เมื่อชุมชนและประชากรเติบโต ระบบการสืบสายสายเลือด จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการ ควบคุม และถ่ายทอดทรัพย์สิน

ถัดมาในแง่มุมของศาสนา การบูชาบรรพบุรุษ และการให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นที่หนึ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญของศาสนาและปรัชญาในหลายลัทธิ ขนาดที่ระบบการปกครองในสมัยโบราณ ก็มักจะมาพร้อมรูปแบบของการสืบทอดชนชั้น และบัลลังก์ทางสายเลือด

ยกตัวอย่าง ในสังคมยุคกลาง ที่มีธรรมเนียมปฏิบัติ คือ บิดาจะส่งต่ออาชีพ และทรัพย์สินให้แก่บุตรชาย หรือการจะเป็น ลูกมือ หรือ ศิษย์สกุลช่าง แบบที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า apprentice ของบางสาขาอาชีพ เป็นสิทธิ์ที่จำกัดไว้เฉพาะลูกของสมาชิกสมาคมช่าง หรือครอบครัวร่ำรวยเท่านั้น สะท้อนชัดเจนว่า แม้แต่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างศาสนา Nepotism ก็ยังแทรกตัวเข้าไปได้

ก่อนศตวรรษที่ 11 นักบวชยังสามารถแต่งงานและมีลูกได้ แถมลูกๆ ก็จะได้รับทรัพย์สิน และตำแหน่งในศาสนจักรต่อจากพ่อ จนราวปลายศตวรรษที่ 14 คำว่า Nepotismo เกิดขึ้นมาเพื่อ อธิบายพฤติกรรมคอร์รัปชันของพระสันตะปาปา ในการแต่งตั้งญาติผู้ชายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น พระคาร์ดินัล จนทำให้ ตระกูลบอร์เจีย (Borgia) ซึ่งผลิตพระสันตะปาปา มาแล้วสององค์ และผู้นำทางการเมืองและศาสนามากมาย กลายเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจในศตวรรษที่ 15-16 

กระทั่งปี 2020 สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส ทรงออกมาตรการ เพื่อกำจัดการคอร์รัปชันในการจัดซื้อจัดจ้างของวาติกัน โดยห้ามมิให้ผู้ประเมินสัญญาในวาติกัน มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดถึงชั้นที่สี่ หรือมีความสัมพันธ์โดยการสมรสถึงชั้นที่สองกับผู้เข้าร่วมประมูล

Nepotism ในการเมืองก็มีหลักฐานที่ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ถึงขั้นต้นกำเนิดของการเมืองเอเธนส์ในกรีกโบราณเลย โดย เพริคลีส (Pericles) รัฐบุรุษชื่อดังแห่งเอเธนส์ ก็เป็นผู้สืบสายเลือดจากตระกูลการเมืองที่มีชื่อเสียง

ส่วนในโรมันโบราณ ก็มี Nepo Baby  ชื่อดัง อย่าง ออกุสตุส หรือหลายคนน่าจะคุ้นกับอีกชื่อ คือออกเตเวียน ที่เป็นลูกบุญธรรมของ จูเลียส ซีซาร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน หากกลับมาที่การเมืองสมัยใหม่ หลายคนก็น่าจะรู้จักครอบครัว Kennedy (เคเนดี้) ครอบครัวที่ให้กำเนิดนักการเมืองชื่อดังมากมาย และทำให้เกิด ‘กฎหมายบ็อบบี้ เคนเนดี’ ที่ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจ้างญาติสนิทเข้ามาทำงาน

กฎหมายที่ว่านี้ ได้เริ่มต้นใช้ในปี 1967 หลังจากเกิดเหตุการณ์ ปี 1961 เมื่อ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น อย่าง จอห์น เอฟ. เคนเนดี แต่งตั้งโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี น้องชายของเขา ให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดของสหรัฐอเมริกา 

และยังมีกรณีอีกนับไม่ถ้วนที่นักการเมืองได้ตำแหน่งเพราะสายเลือด และในเมื่อมีรากฐานมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าการที่พ่อแม่อยากให้ลูกได้รับโอกาสที่ดีที่สุด หรือการที่เจ้าของบริษัทอยากให้ลูกมาสืบทอดกิจการนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ปัญหาจะเกิดขึ้น เมื่อระบบนี้ขัดแย้งกับหลักการความเท่าเทียม และการให้โอกาสตามความสามารถมากจนเกินไป

[ เสียงวิจารณ์ กับโอกาสล้มได้ไม่รู้จบ ]

คำวิจารณ์หลักที่มีต่อ Nepo Baby คือ การที่พวกเขาได้รับโอกาสมากกว่าคนที่มีความสามารถ แต่ไม่มี ‘แบ็ก’ ที่ดีพอ การที่ตำแหน่งหรือบทบาทสำคัญ ไปตกอยู่กับทายาทตระกูลดัง หมายความว่าคนที่มีความสามารถจริง แต่เกิดในครอบครัวธรรมดา อาจจะต้องทำงานหนักกว่าเป็นสิบเท่า เพื่อให้ได้โอกาสเดียวกัน

แม้ว่าวาทกรรมยอดนิยมในหมู่ Nepo Baby จะบอกว่า ถึงเส้นสายจะเปิดประตูบานแรกให้กับพวกเขา แต่เส้นทางหลังจากนั้น พวกเขาต้องค้นหาและฟันฟ่าไปกับมันเอง แต่สำหรับอีกหลายคน กว่าจะเดินไปถึงหน้าประตูบานนั้นได้ เส้นทางอาจจะยาวไกลเกินกว่าจะเดินถึง 

บทความ จาก The Guardian ระบุว่า สุดท้ายแล้วพลังเส้นสายของพ่อแม่ที่ดันลูก ไม่มีทางหยุดอยู่แค่การเปิดประตูสู่โอกาส เพราะพลังความดังของพ่อแม่  มักจะส่งแรงให้พวกเขาได้งานต่อ และถ้าเป็นไปได้ ไม่มีใครกล้าไล่ลูกคนดังออก หรือปฏิบัติกับพวกเขาแบบไม่ยุติธรรมหรอก เหตุนี้ ทำให้เด็กเส้นทั้งหลายได้เติบโตในที่ทำงานอย่างเต็มที่ และมาตรฐานหรือเกณฑ์ก็อาจจะถูกปรับลดลง เพื่อให้ Nepo Baby ผ่านได้ ที่สำคัญคือ พวกเขามีชีวิตที่เอื้อให้ใช้เวลาเรียนรู้ และล้มบ่อยได้กว่าคนอื่น หรือบางคนก็ได้โอกาสครั้งที่ 2 3 4 ได้ไปไม่รู้จบ

นอกจากนี้ ความมั่นใจที่หล่อหลอมมาจากการมีพ่อแม่เป็นคนดัง อาจจะทำให้พวกเขากล้าทำในสิ่งที่เด็กใหม่บางคนไม่มีวันทำได้ เช่น Dakota Johnson ลูกสาวของนักแสดงอย่าง Don และ Melanie Griffith กล้าชอตฟีล Ellen DeGeneres กลางรายการ แบบที่น้อยคนนักจะกล้าทำ 

บทความของ The Guardian ยังระบุด้วยว่า รายงานและการวิจัยหลายฉบับที่บอกว่า การเล่นพรรคเล่นพวกครั้งเดียว สามารถแพร่กระจายไปทั้งบริษัท ความพึงพอใจในงานและผลิตภาพก็ร่วงลง คนเก่งลาออก คนอื่นก็เลิกแข่งขัน เพราะจะแข่งทำไม ในเมื่อทำแทบตายแต่เด็กเส้นได้ทุกอย่างไปครอง อย่างไรก็ดี การมีพ่อแม่ที่มีชื่อเสียง ไม่ได้หมายความว่า ลูกจะไม่มีความสามารถเสมอไป เพราะหลายๆ คนที่เป็น Nepo Baby ก็มีของดีอยู่ในตัว และสร้างผลงานที่น่าชื่นชมให้เราเห็นมาแล้วมากมาย 

[ ความไม่เท่าเทียมตั้งแต่เกิด แต่สังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ]

ท้ายที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงคือ คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน บางคนเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย มีการศึกษาดี มีเครือข่ายกว้าง ขณะที่บางคนเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดแคลน ทว่า สิ่งที่สังคมสามารถทำได้ คือการสร้างระบบที่ให้โอกาสกับคนที่มีความสามารถ มีระบบคัดเลือกที่โปร่งใส การลดอคติที่มาจากพื้นฐานครอบครัว

หลายบริษัทถึงได้หันมาใช้ระบบการคัดเลือกพนักงาน ด้วย Blind Recruitment อย่าง Deloitte หนึ่งในสี่บริษัทตรวจสอบบัญชี และที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้นำแนวทางการสรรหาบุคลากรแบบปิดบังข้อมูลมาใช้ เพื่อลดอคติที่ผู้คัดเลือกอาจมีโดยไม่รู้ตัว

โดยพวกเขาจะลบชื่อ เพศ และข้อมูลระบุที่ตัวตนได้อื่นๆ ของผู้สมัครออกจากเรซูเม่ เพื่อให้การตัดสินใจจ้างงานขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ และประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แนวทางนี้ส่งผลให้เกิดการจ้างงานที่หลากหลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างที่ สำนักงาน Deloitte ในสหราชอาณาจักร มีสัดส่วนการจ้างผู้หญิง เพิ่มขึ้น 33% และสัดส่วนการจ้างกลุ่มชาติพันธุ์ที่เป็นคนส่วนน้อย (ethnic minority) เพิ่มขึ้น 20% ภายในสองปี หลังจากนำการสรรหาบุคลากรแบบปิดบังข้อมูลมาใช้

ในอนาคต Nepo Baby อาจจะมีอยู่ต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ การสร้างสังคมที่ ‘ความสามารถ’ มีน้ำหนักมากกว่า ‘ความสัมพันธ์’ เพื่อสร้างระบบที่ให้โอกาสกับทุกคน ได้อย่างยุติธรรม

แท็กที่เกี่ยวข้อง
วาดฝัน Writerวาดฝัน

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง