สำเร็จได้เพราะสำนึกทหาร? ‘อินโดนีเซีย’ ถอนพิษทหารออกจากการเมือง คุยกับ อ.อรอนงค์

สำเร็จได้เพราะสำนึกทหาร? ‘อินโดนีเซีย’ ถอนพิษทหารออกจากการเมือง คุยกับ อ.อรอนงค์

หนึ่งในบริบทของการเมืองอินโดนีเซียที่ทำให้ต้องหันกลับมามองประเทศไทย คือความเกี่ยวโยงของทหารกับการเมือง ซึ่ง ‘อินโดนีเซีย’ เกิดการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจังจนเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม แม้จะเหลือร่องรอยอยู่บ้าง เช่น จากการที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนปัจจุบันก็เป็นทหารมาก่อน

 

คำถาม คือ อินโดนีเซียทำให้การปฏิรูปกองทัพเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัจจุบันทหารยังคงมีบทบาทมากแค่ไหน และเมื่อไหร่จะถึงเวลาของการปฏิรูปกองทัพไทย 

รายการ HEADLINE สำนักข่าว TODAY ชวน ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำสาขาประวัติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญอินโดนีเซีย เจ้าของหนังสือ ‘เอาทหารออกไป’ ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ และอาจารย์เพิ่งมอบหนังสือเล่มนี้กับแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ไปอ่านด้วย

[จุดเริ่มต้นทหารในการเมืองอินโดนีเซีย]

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนอินโดนีเซียซึ่งเป็นอาณานิคมของ ‘ดัตช์’ หรือเนเธอร์แลนด์ ถูกญี่ปุ่นยึดไป เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม อินโดนีเซียต้องการประกาศเอกราช ทำให้กองกำลังอินโดนีเซียที่ญี่ปุ่นช่วยก่อตั้งขึ้น ลุกขึ้นต่อสู้ราว 4 ปี จนเนเธอร์แลนด์ยอมรับเอกราชของอินโดนีเซีย 

ผศ.ดร.อรอนงค์ ทิพย์พิมล อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นจุดเริ่มต้นของทหารในอินโดนีเซีย ที่อาจารย์มองว่า “กองกำลังอินโดนีเซีย เกิดก่อนประเทศอินโดนีเซียเสียอีก” และทหารอินโดนีเซียในยุค ‘ซูการ์โน’ ก็ได้เข้ามามีอำนาจเต็มที่ มีอิทธิพลทางการเมือง มีบทบาทต่อรัฐวิสาหกิจ และการตัดสินใจนโยบายต่างๆ ของรัฐ จนเกิดเป็นรูปแบบ ‘ประชาธิปไตยแบบชี้นำ’

ในยุคต่อมา ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างทหารและพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย จอมพล ‘ซูฮาร์โต’ ได้เข้ามามีบทบาทในการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์และขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 โดยในสายตาของ อ.อรอนงค์ มองว่าเป็นยุคเผด็จการจริงๆ 

เพราะแม้ว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่เปิดช่องให้ทหารเข้ามายุคกับการเมืองได้โดยตรง มีที่นั่งในสภาโดยไม่ต้องมีการเลือกตั้ง เป็นรัฐมนตรี มีบทบาทในรัฐวิสาหกิจ มีการยุบพรรคการเมืองให้เหลือเพียง 2 พรรค และใช้กฎหมายหลายอย่างควบคุมการแสดงออกของประชาชน รวมถึงมีการกำหนดบทบาท 2 อย่างของทหารหรือ ‘ดวีฟุงซี’ (Dwi Fungsi) ที่บอกว่าทหารไม่ควรเป็นแค่ทหาร แต่ต้องมีบทบาททางการเมืองและสังคมด้วย

ความชอบธรรมของ ‘ซูฮาร์โต’ หมดไปทันทีเมื่อเศรษฐกิจอินโดนีเซียพังทลายลงในเหตุการณ์ฟองสบู่แตกปี 2540 อ.อรอนงค์ ฉายภาพให้เห็นว่าพังทลายชนิดที่ว่าชนชั้นรากหญ้าไม่มีข้าวกิน ธนาคารเจ๊ง ธุรกิจหลายอย่างต้องปิดตัวลง และนั่นนำมาสู่การก่อการจลาจล 

[ปฏิรูปกองทัพสำเร็จ เพราะทหารสำนึกได้]

ความสำเร็จของการประท้วงเรียกร้องที่มีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปสังคมทุกด้าน ทำให้เกิดการปฏิรูปกองทัพขึ้น อ.อรอนงค์ ให้คะแนนความสำเร็จของการปฏิรูปนี้ไว้ที่ 70% เพราะสามารถทำให้เอาทหารออกจากการเมืองได้ ไม่มีโควตาที่นั่งในสภาอีกต่อไป มีการแก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้นเหตุที่สำเร็จได้ส่วนหนึ่งเกิดการที่ทหารปฏิรูปตนเอง

“ถ้าเกิดทหารไม่ยอมปฏิรูปตัวเอง ถ้าให้คนอื่นเข้าไปจัดการ เข้าไปล้วงลูก มันอาจจะออกมาไม่สวยเท่านี้ นะคะ คือการปฏิรูปของอินโดนีเซีย เกิดจากภายในกองทัพเอง ก็คือมันมีคนที่เป็นทหารสายปฏิรูป มันมีแบบว่าทหารที่คิดว่าเราต้องปฏิรูป เราจะอยู่แบบนี้ไม่ได้จริงๆ แล้วไอ้ความคิดที่จะปฏิรูป จริงๆ มันเกิดก่อนที่ซูฮาร์โตจะล่มสลาย” อ.อรอนงค์ กล่าว

ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ อ.อรอนงค์ มองว่าในวัฒนธรรมการเมืองอินโดนีเซีย การทำรัฐประหารเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เป็นเรื่องเลวทราม คนอินโดนีเซียจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น

“มันไม่มีทหารที่ขึ้นมามีอำนาจด้วยการทำรัฐประหาร เพราะฉะนั้นไม่ต้องฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งนะคะ เขาใช้วิธีการแก้ แต่ว่าบางทีก็มีการแก้กฎหมายที่ทำให้มันดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยน้อยลงก็มีเหมือนกัน อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียช่วงที่ตั้งแต่ปราโบโวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีค่ะ” อ.อรอนงค์ กล่าว

[ปฏิรูปกองทัพ แต่ทหารก็ยังหยั่งรากลึก] 

จุดเริ่มต้นจากการกดดันให้ทหารต้องยอมจำนนปฏิรูปกองทัพด้วยตนเองในครั้งนั้น ใช้เวลากว่า 10 ปี สู่การควบคุมจำกัดบทบาทกองทัพไม่ให้เข้ามาเล่นการเมืองแบบเปิดหน้าได้อย่างเต็มที่ แต่การฝังรากลึกของ ‘วัฒนธรรมทหารนิยม’ หรือความชื่นชอบทหารก็ยังเคียงคู่กับสังคมอินโดนีเซีย

“การที่ทหารอยู่ในตำแหน่งนานขนาดนี้ มันสร้างวัฒนธรรมการเคารพทหารนะคะ คนจะรู้สึกว่า โอ้โห ทหารเป็นกลุ่มคนที่แบบน่าเกรงขามอะไรพวกนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาทหารออกมาทำอะไรหรือพูดอะไร คนจะให้การเคารพยกย่องค่อนข้างมาก” อ.อรอนงค์ ระบุว่า นี่เป็นภาพที่คนจะรู้สึกทั้งเกลียด กลัว เคารพ และเกรงใจ

อ.อรอนงค์ วิเคราะห์ว่า การที่ ‘ปราโบโว สุเบียนโต’ ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นทหารที่มีเรื่องพัวพันกับคดีละเมิดสิทธิมนุษยชน ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษวัฒนธรรมทหารนิยม และหลังจากขึ้นมามีอำนาจ ก็เหมือนจะมีความพยายามเอาทหารกลับเข้ามาในการเมืองมากขึ้น พยายามปลุกกระแสแบบวัฒนธรรมทหาร และมีการแก้ไขกฎหมายให้ทหารสามารถดำรงตำแหน่งของพลเรือนได้มากขึ้น 

แต่ถึงอย่างนั้น อ.อรอนงค์ มองว่า การจะกลับไปสู่ยุคทหารเฟื่องฟูอย่างยุคของ ‘ซูฮาร์โต’ นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะบริบทของสังคมการเมืองโลกไม่เหมือนเดิม และแค่ออกกฎหมายบางอย่าง คนก็ออกมาประท้วงแล้ว ในสายตาของ อ.อรอนงค์ เห็นว่าความประสบความสำเร็จในการ ‘ถอนพิษทหาร’ นี้เกิดขึ้นได้ เพราะเป็นการสู้กันแบบ ‘1 ต่อ 1’ ซึ่งทหารยังคงต้องยึดโยงกับประชาชนไม่มีองค์กรหรืออำนาจอื่นที่จะหนุนหลังได้

ขณะเดียวกัน การประท้วงครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซียพุ่งเป้าไปที่การประพฤติตัวของ สส. ที่ไม่ได้ทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน อ.อรอนงค์ มองว่าการประท้วงของอินโดนีเซียด่า สส. ด่านักการเมือง แต่ไม่ได้เรียกร้องทหาร เพราะไม่คิดว่าทหารดีกว่านักการเมือง หรือ สส.

[ย้อนมองทหารไทย ถึงเวลาออกไปจากการเมือง]

“ทหารไทยเรามีบทบาททางการเมืองมากเกินไป การที่ประเทศไทยมีทหารขึ้นมายึดอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่าขนาดนี้มันไม่ปกตินะคะ” นี่เป็นคำตอบของ อ.อรอนงค์ เมื่อให้ลองมองย้อนกลับมาถึงบทบาทของทหารในการเมืองไทย

อ.อรอนงค์ มองว่าปัจจุบันหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ทหารไทยกลับมา “ได้แสงได้สี” อีกครั้ง และกลายเป็นฮีโร่ เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนไม่น้อย อาจารย์ยังวิจารณ์ถึงการเดินสาย “โปรโมทตัวเอง” ของแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ถือได้ว่าเป็นการเมืองแบบหนึ่ง จึงได้มอบหนังสือ ‘เอาทหารออกไป’ ของตนเอง เพื่อหวังให้แม่ทัพได้เรียนรู้ว่าทหารไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

“ทหารไทยเนี่ยยังมีอำนาจอื่นให้อ้างอิงให้พิงหลัง เพราะฉะนั้นการที่จะถูกถอนรากถอนโคนหรือปฏิรูปได้ ยังอีกยาวไกลค่ะ แต่คิดว่าจะไม่อยู่อย่างนี้ตลอดไป มันต้องมีการปฏิรูป แต่ว่าอาจจะไม่ใช่ช่วงระยะเวลาอันใกล้” อ.อรอนงค์ วิเคราะห์ทิ้งท้าย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง