ผลสำรวจเผย ชาวญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งไม่เห็นด้วย รัฐบาลอนุมัติงบกลาโหมสูงสุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ค้านขึ้นภาษีเพื่อนำเงินไปอุดหนุนด้านการป้องกันประเทศ
สำนักข่าวเกียวโดเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนกลุ่มตัวอย่างต่อแผนการขึ้นภาษีที่รัฐบาลเพิ่งประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเงินไปอุดหนุนงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ ปรากฏว่า ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ ราว 64.9% ไม่เห็นด้วยกับแผนการดังกล่าว
การสำรวจครั้งล่าสุดนี้จัดทำขึ้นในช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17-18 ธ.ค.) หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยแผนความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความสามารถทางการทหารครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในภูมิภาคจากจีนและเกาหลีเหนือ
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ แถลงผ่านทางโทรทัศน์เมื่อวันศุกร์ (16 ธ.ค.) ว่า รัฐบาลได้อนุมัติเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ เพื่อยกระดับแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร รวมถึงแผนงบประมาณด้านกลาโหม 3.2 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 11.1 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยงบประมาณดังกล่าวนับเป็นมูลค่าสูงสุดตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
นายคิชิดะระบุว่า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนด้านความมั่นคงครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ จากภัยคุกคามด้านความมั่นคงรอบด้าน ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ความขัดแย้งภายในภูมิภาค ตลอดจนภัยคุกคามจากจีน คู่แข่งรายสำคัญที่กำลังผงาดขึ้นมา รวมถึงการสั่งสมขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
โดยยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศฉบับใหม่ จะเปิดทางให้ญี่ปุ่นมีขีดความสามารถในการตอบโต้กลับ แทนที่จะทำได้เพียงป้องกันตนเองเช่นในตอนนี้ เช่น การจัดหาขีปนาวุธที่มีศักยภาพ เช่น ขีปนาวุธโทมาฮอว์กของสหรัฐฯ ที่มีขีดความสามารถในการยิงตอบโต้ไปยังฐานยิงขีปนาวุธและเป้าหมายของศัตรูหากญี่ปุ่นถูกโจมตี
ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้วางแผนไว้ว่าจะโอนเงินรายได้จากภาษีส่วนหนึ่งจากงบประมาณที่กำหนดไว้เพื่อใช้ในการฟื้นฟูหลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 มาเพิ่มในงบประมาณกลาโหม และในส่วนที่ขาดจะมาจากการปรับขึ้นภาษียาสูบและภาษีนิติบุคคล โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2567 หรือหากถึงระยะเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสำนักข่าวเกียวโด พบว่า ชาวญี่ปุ่น 53.6% ไม่เห็นด้วยกับแผนยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมระยะเวลา 5 ปี ของรัฐบาล และมีเพียง 39% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับแผนการดังกล่าว
ขณะเดียวกัน มีผู้ตอบแบบสอบถาม 87.1% มองว่า นายคิชิดะไม่สามารถอธิบายแผนการขึ้นภาษีนิติบุคคลและภาษียาสูบเพื่อมาอุดหนุนงบประมาณด้านกลาโหม โดยมี 7.2% มองว่าคำอธิบายของผู้นำญี่ปุ่นมีความชัดเจนเพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ 61% ของผู้ร่วมตอบแบบสอบถาม ยังมีความกังวลว่า การเพิ่มความสามารถด้านกลาโหมอาจสร้างความตึงเครียดกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ 33.9% มองว่าไม่มีอะไรน่ากังวล
ส่วนความนิยมที่มีต่อรัฐบาลอยู่ที่ 33.1% เท่ากับการสำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งยังคงเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ เข้ารับตำแหน่ง










