“เป้าหมายคือละกิเลส แต่การมียศมาสวนทาง” วิพากษ์สงฆ์ไทย ในพุทธราชาชาตินิยม คุยกับ สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา

“เป้าหมายคือละกิเลส แต่การมียศมาสวนทาง” วิพากษ์สงฆ์ไทย ในพุทธราชาชาตินิยม คุยกับ สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา 

จากข่าววุ่นวายวงการผ้าเหลือง พระระดับชั้นเทพ ชั้นครู มีความสัมพันธ์กับ ‘สีกา’ โดยมีหลักฐานยืนยัน ทั้งภาพหลุด แชทหยอดคำหวาน และเส้นทางการเงินหลักสิบล้าน จนสร้างความกังวล ถึงศรัทธาวงการสงฆ์

 

‘ในหลวง ร.10’ ทรงยกเลิกพระบรมราชโองการสถาปนาสมณศักดิ์ และพระราชทานสัญญาบัตร ตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์ 81 รูปเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา และทรงมีพระราชดำริว่า “เป็นเหตุให้พุทธศาสนิกชนได้รับผลกระทบต่อจิตใจเป็นอย่างยิ่ง”

รายการ TODAY LIVE ของสำนักข่าว TODAY ชวนพูดคุยกับ ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา ที่มองว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นประวัติศาสตร์หนึ่งในยุคสมัย พร้อมกับฉายภาพความสัมพันธ์ของเครือข่ายพุทธศาสนาในไทย

[ศักดินาทางโลก กับ สมณศักดิ์ของสงฆ์]

จะเข้าใจปัจจุบัน ก็คงหนีไม่พ้นมองย้อนไปแรกเริ่ม ผศ.สุรพศ เริ่มต้นด้วยการเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังว่า ในยุคสมัยใหม่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม 2475 ไม่เคยมีครั้งไหนที่พระเจ้าอยู่หัว ‘ยกเลิก’ พระบรมราชโองการสถาปนาสมณศักดิ์พระสงฆ์ มากถึงขนาดนี้ 

ที่ผ่านมา มีการยกเลิกเป็นรายบุคคลอยู่บ้าง เช่น คดีพระพิมลธรรม ปี พ.ศ.2505 ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ภายหลังพบว่าไม่มีความผิด ก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์คืน

สาเหตุที่นักวิชาการรายนี้พาย้อนไป ตั้งแต่ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น อาจเป็นเพราะการปฏิวัติสยามของคณะราษฎรนั้น แม้ได้ทำการยกเลิก ‘ศักดินาทางโลก’ ของขุนนางต่างๆ ไปเสียหมด ทว่า สมณศักดิ์ของพระสงฆ์นั้นไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ถึงแม้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของคณะราษฎรจะมีการบัญญัติหลักการที่เป็นรัฐฆราวาส แต่ ‘รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม’ ที่รัชกาลที่ 7 พระราชทานนั้น ได้บัญญัติขึ้นว่าพระมหากษัตริย์ต้องทรงเป็นพุทธมามกะ

นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ ในช่วงสมัยคณะราษฎรมีอำนาจนั้น ยังเคยมีความพยายามเปลี่ยนระบบมหาเถรสมาคม ที่ตั้งขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 สู่ระบบสภาสงฆ์ มีการแบ่งแยกอำนาจเป็นบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ คล้ายกับอำนาจทางโลก มีการตรวจสอบถ่วงดุล การแต่งตั้งพระราชาคณะต่างๆ ก็จะมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แต่ระบบดังกล่าวอยู่ได้ราว 15 ปี ก่อนถูกยกเลิกในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และนำเอาระบบมหาเถรสมาคมกลับมา

“พูดง่ายๆ ว่ายกจารีตประเพณี แบบที่เรียกว่าโบราณราชประเพณี ที่พระมหากษัตริย์ปกครองคณะสงฆ์ครับ เอามาไว้ในรัฐหลังการเปลี่ยนแปลง 2475 เหมือนเดิม และบางทีเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม…ถ้ายุคที่เหมือนกับจะเป็นประชาธิปไตย คณะสงฆ์ก็จะปรับถูกปรับให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยด้วย พอมาเป็นเผด็จการทหารก็ดึงระบบเดิมกลับมา แล้วยุค คสช. ก็ชัดขึ้น มีการแก้กฎหมายพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาเป็นลักษณะสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากขึ้น” ผศ.สุรพศ กล่าว

ผศ.สุรพศ อธิบายต่อว่า หลังจากยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชโดยตรง ต่างจากก่อนหน้าที่มีการแก้ไขกฎหมาย ให้มหาเถรสมาคมเสนอชื่อผู้มีอาวุโสทางสมณศักดิ์ขึ้นไป 

นอกเหนือจากนั้น การแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค เจ้าคณะระดับสูง เจ้าอาวาสพระอารามหลวง พระมหากษัตริย์ก็ทรงแต่งตั้งโดยตรง เช่นเดียวกับยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

[มียศ ก็มีกิเลส]

ผศ.สุรพศ ฉายภาพให้เห็นง่ายๆ ว่า พุทธศาสนาไทย หรือ บางครั้งเรียกว่า ‘พุทธราชาชาตินิยม’ มีพระอยู่ 3 กลุ่ม 

  • กลุ่มแรก คือ ‘พระบ้านๆ’ ทั่วไปที่เห็น เป็นพระในชุมชน ซึ่งก็ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ 
  • กลุ่มที่ 2 คือ ‘พระบวชเรียน’ ซึ่งเมื่อบวชเรียนแล้ว จะเชื่อมโยงกับพระในระบบสมณศักดิ์ แม้ส่วนหนึ่งอาจสึกไปประกอบอาชีพ แต่ถ้าบวชอยู่ก็จะมีลำดับชั้นที่ต้องไต่เต้าขึ้นไป เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด เจ้าคณะภาค ไล่เรียงจนถึงพระครูชั้นต่างๆ ซึ่งเส้นทางนี้คล้ายกับเป็น ‘ระบบราชการพระ’
  • กลุ่มสุดท้าย คือ ‘พระสายปฏิบัติ’ ซึ่งอาจมีสมณศักดิ์ แต่ไม่อยู่ในสายการบริหาร เช่น วัดสวนโมกขพลาราม

“มันจะมีสายที่เป็นปัญหา ณ ปัจจุบันเนี่ย คือสายที่เป็นระบบสมณศักดิ์ มันก็จะขัดแย้งกับอุดมคติของผู้ถือพรหมจรรย์ อย่างที่บอกว่า อุดมมีผู้ถือพรหมจรรย์ คือมุ่งขัดเกลาปล่อยวาง แต่ยศตำแหน่งเป็นที่มาของเงินใช่ไหม เพราะว่าค่าตัวแพงกว่าพระทั่วไป เวลาออกงานรับกิจนิมนต์ต่างๆ ก็ถวายเยอะ…สิ่งพวกนี้มันคือการสะสมกิเลสนะ การถือพรหมจรรย์ เป้าหมายคือละกิเลส แต่การมียศมันมาสวนทางกัน ขัดแย้งย้อนแย้งกันเอง มันก็เลยทำให้เกิดปัญหาได้ไง มันก็ทำให้จะมีผู้หญิงเข้าไปหา แล้วก็เกิดปัญหาแบบนี้” ผศ.สุรพศ กล่าว

[แยกศาสนาออกจากรัฐ เป็นไปได้หรือไม่?]

ความพยายามในการแก้ไขปัญหาของหลายภาคส่วน ต่อข่าววงการสงฆ์ครั้งใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้น อาจจะยังไม่เพียงพอ ตามความเห็นของ นักวิชาการรายนี้

ผศ.สุรพศ มองว่า ยังคงวนอยู่ในแนวคิดของการไม่แยกศาสนากับรัฐ ทำให้เข้าสู่วงจรการออกกฎหมายควบคุมศาสนา และยังไม่มีแนวคิด Secular State หรือรัฐโลกวิสัย (รัฐฆราวาส) ที่แยกศาสนาออกจากรัฐ และยังให้ความเห็นว่า การจัดการเบื้องต้น ไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากมหาเถรสมาคมสามารถออกระเบียบได้อยู่แล้ว มีอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ปัจจุบัน พร้อมกับเสนอไอเดียเรื่อง ‘ธนาคารพุทธศาสนา’ มาจัดการเรื่องเงินในวงการสงฆ์

“ถ้าจะมีธนาคารแบบนี้ขึ้นมา ที่ได้เราพูดกันว่ามีเงินหมุนเวียน ปีละแสนกว่าล้านนี้นะครับ ก็เอาเงินวัดมาฝากตรงนี้เลย แล้วให้มีระบบบริหารจัดการ เงินพวกนี้ให้กระจายไปพัฒนาวัดต่างๆ ให้ดีขึ้น จะต้องไม่ให้มีวัดไหนบอกว่าติดหนี้ค่าไฟ พระจน พระขาดแคลนการศึกษา ต้องจัดสรรปันส่วน คือวาดภาพเลยว่าลองทำคณะสงฆ์ให้เป็นเหมือนรัฐสวัสดิการ” ผศ.สุรพศ เสนอแนวคิด 

อย่างไรก็ดี ผศ.สุรพศ ได้ตั้งข้อสังเกตที่ทำให้แนวคิดข้างต้น ไม่เกิดเป็นรูปธรรม เป็นเพราะอาจมีผู้ที่เสียเปรียบ หลังการกระจายเงินสู่วัดอื่นๆ อย่าง พระและวัด ที่สามารถทำรายได้สูง

ผศ.สุรพศ ยกตัวอย่างว่า บางวัดมีระบบจัดการเงินที่ดี เช่น การนำเงินทำบุญเข้ามูลนิธิ ไม่ให้เป็นบัญชีเงินฝากส่วนตัว ที่แท้ตามพระวินัยจะห้ามพระรับเงิน แต่ในปัจจุบันมีการผ่อนปรน จนในที่สุดก็นำมาสู่ปัญหา 

เหตุของปัญหา นักวิชาการรายนี้ มองว่า ไม่ใช่เพียง ‘การผิดพระธรรมวินัย’ ซึ่งเป็นความผิดตามหลักความเชื่อทางศาสนา ที่คณะสงฆ์ตั้งจัดการ แต่ในอีกกรณีหนึ่ง คือ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทางโลก นั่นคือ เรื่องกฎหมาย

ผศ.สุรพศ ระบุว่า การจัดการปัญหาพุทธศาสนาในประเทศไทย มุ่งเน้นไปที่เรื่องพระธรรมวินัย แต่ทางกฎหมายกลับไม่ค่อยชัด และมีประเด็นทางจริยธรรมโลกวิสัย หรือ Secular Ethics ที่อาจจะไม่คุ้นเคย 

พร้อมทั้งยกตัวอย่างพระที่เป็นข่าวว่า หลายรูปอาจเคยละเมิดข้อห้ามมานับ 10 ปีที่แล้ว นั่นแปลว่าขาดจากความเป็นพระ ตั้งแต่วันที่เสพเมถุน แต่ยังคงห่มผ้าเหลือง และรับเงินทำบุญจากประชาชนต่อ

“สมมุติ 10 ปีที่ผ่านมาคุณรับเงินบริจาคจากประชาชนไปประมาณ 5 ล้านอย่างนี้ อยู่ในบัญชีเงินฝากส่วนตัวของคุณ พอวันนี้คลิปหลุดออกมาปาราชิก คณะสงฆ์บอกให้สึกจากความเป็นพระครับ คุณก็สึกไปเลย พร้อมกับบัญชีเงินตัวเงินส่วนตัว 5 ล้านสบายๆ เลยเหรอ อ้างว่าเป็นเงินส่วนตัวไง ไม่ใช่เงินวัดไง แต่ในทางจริยธรรมโลกวิสัยเนี่ย มันคือการหลอกลวง…คำถามต่อ คือคณะสงฆ์มีมาตรการอะไร แค่ให้สึกไปเท่านั้นเหรอ ไม่มีมาตรการว่า ต้องคืนเงินรายได้ทั้งหมด จากศรัทธาประชาชนที่เป็นส่วนตัวขอคืนให้วัด” ผศ.สุรพศ ตั้งคำถาม

“สำนึกทางศีลธรรมของคุณน่ะ มันไม่มาเชื่อมโยงกับการเคารพสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น มันก็เลยทำให้เรามีคำถามในเชิงปรัชญาว่า เอ๊ะ การที่เรามีความรู้ทางธรรมะดีนี้  มันทำให้เรามีศีลธรรมจริงหรือเปล่า ศีลธรรมในความหมายสมัยใหม่นะ ศีลธรรมสากล ศีลธรรมโลกวิสัยที่เขาถือ คือการเคารพสิทธิครับ…ศาสนาแบบรัฐไม่ได้ปลูกฝังสิ่งนี้มาเหรอ หิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป กลัวนรก คุณไม่มีแล้วเหรอ” ผศ.สุรพศ กล่าวทิ้งท้าย

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง
“เป้าหมายคือละกิเลส แต่การมียศมาสวนทาง” วิพากษ์สงฆ์ไทย ในพุทธราชาชาตินิยม คุยกับ สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา