เสียงปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา อาจเริ่มต้นจากการเคลื่อนกำลังของทหาร แต่สิ่งที่ขยายความขัดแย้งให้ลุกลามออกจากพื้นที่จริงอย่างรวดเร็ว กลับไม่ใช่กระสุนหรือยุทโธปกรณ์ หากเป็น ข้อมูล ข่าวสาร และการสื่อสาร ที่ไหลบ่าไม่หยุดบนหน้าจอโทรศัพท์ของผู้คน
ประเด็นนี้ถูกหยิบขึ้นมาถกอย่างเข้มข้นในงานเสวนาเรื่อง “สันติภาพ ความขัดแย้ง และสิทธิมนุษยชนในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ” ซึ่งจัดโดยศูนย์เนลสัน แมนเดลาฯ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Auschwitz Institute เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา
หนึ่งในช่วงที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือการเสวนาหัวข้อ “การเมืองของการยุยงปลุกปั่น: การป้องกันความเกลียดชังและการคุ้มครองพื้นที่พลเมืองในภาวะความขัดแย้ง” ซึ่งนักวิชาการจากหลากหลายสาขาเห็นตรงกันว่า ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ได้ดำเนินอยู่เพียงในสนามรบ หากกำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นใน ‘สนามข่าว’ และ ‘โลกออนไลน์’
พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้มีเพียงทหารเป็นผู้เล่น แต่ยังรวมถึงสื่อมวลชน อินฟลูเอนเซอร์ และประชาชนทั่วไป ที่ต่างมีบทบาทเป็นผู้มีส่วนร่วมในสมรภูมิเดียวกัน
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “ใครยิงก่อน” แต่คือ “ใครกำลังเล่าเรื่องนี้อย่างไร” และการเล่านั้นกำลังพาสังคมไปสู่สันติภาพ หรือผลักให้ถลำลึกลงไปในความขัดแย้งมากขึ้น
เมื่อ ‘การรายงานข่าว’ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ข่าว
หนึ่งในข้อสังเกตสำคัญที่ถูกเน้นย้ำบนเวที คือสื่อไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดเหตุการณ์อีกต่อไป หากแต่กำลังเข้าไปเป็น ‘ส่วนหนึ่งของพลวัตความขัดแย้ง’ ผ่านการเลือกกรอบการเล่าเรื่อง ภาษา ภาพ และอารมณ์ที่ถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรรษาสิริ กุหลาบ จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ความขัดแย้งในยุคดิจิทัลไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ทางกายภาพ แต่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วผ่านโลกออนไลน์ จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘participatory war’ หรือสงครามที่ผู้เสพข่าวไม่ได้เป็นเพียงผู้ดู แต่กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
ในสงครามลักษณะนี้ ประชาชนสามารถมีบทบาทได้ทันที ผ่านการกดไลก์ แชร์ คอมเมนต์ ติดแฮชแท็ก หรือผลิตเนื้อหาของตนเอง ซึ่งการมีส่วนร่วมที่ดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้ได้ช่วยขยายอารมณ์ ความเกลียดชัง และการแบ่งฝ่ายให้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง
ดร.พรรษาสิริชี้ว่า โซเชียลมีเดียทำให้การเข้าร่วมสงครามเป็นเรื่องง่ายและมีต้นทุนต่ำ ผู้ใช้จำนวนมากรู้สึกว่าตนเองได้ทำหน้าที่พลเมือง ได้ปกป้องชาติ หรือได้ส่งกำลังใจให้แนวหน้าแล้ว เพียงผ่านปลายนิ้ว โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้งจริง
อัลกอริธึม ความเร็ว และการทำให้สงครามกลายเป็นคอนเทนต์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้สงครามข่าวสารยิ่งทวีความเข้มข้น ไม่ได้เกิดจากผู้ใช้เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากกลไกของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีแนวโน้มขยายเนื้อหาที่เร้าอารมณ์ โกรธ เกลียด หรือหวาดกลัว ให้ถูกมองเห็นมากกว่าเนื้อหาที่อธิบายบริบทอย่างรอบด้าน
ผลลัพธ์คือ ผู้ใช้จำนวนมากถูกห้อมล้อมด้วยเรื่องเล่าที่สอดคล้องกับมุมมองของตนเองเพียงด้านเดียว ขณะที่มุมมองอื่นๆ ค่อยๆ หายไปจากสายตา
เมื่อข่าวความขัดแย้งถูกบริโภคไม่ต่างจากคอนเทนต์บันเทิง จึงทำให้ผู้ชมจำนวนไม่น้อยติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ตั้งคำถามเชิงยุทธวิธี หรือแสดงความเห็นที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง โดยหลงลืมไปว่า เบื้องหลังตัวเลขและภาพการปะทะ คือชีวิตของผู้คนจริงๆ ทั้งทหารและพลเรือน
ในสภาพเช่นนี้ ดร.พรรษาสิริเตือนว่า การสื่อสารที่ผลิตซ้ำความเกลียดชังจะทิ้งตะกอนดิจิทัล ไว้ในสังคม แม้การสู้รบจะยุติลง แต่อคติ ความหวาดระแวง และการลดทอนความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่ายจะยังคงอยู่ และอาจถูกนำกลับมาใช้ซ้ำในความขัดแย้งครั้งต่อไป
สมรภูมิข่าวสาร ทำให้ทางออกยิ่งแคบลง
การวิเคราะห์เรื่องบทบาทของสื่อและผู้เสพข่าว ถูกขยายต่อโดย คุณกวี จงกิจถาวร นักวิชาการอาวุโสด้านความมั่นคงและการศึกษานานาชาติ ซึ่งชวนให้มองความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในกรอบที่กว้างกว่าสนามรบและสนามข่าว นั่นคือบทบาทของอาเซียนและข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของกลไกภูมิภาค
คุณกวีอธิบายว่า อาเซียนถูกก่อตั้งขึ้นบนเป้าหมายหลักในการป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกลุกลามจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ วิธีคิดของอาเซียนจึงเน้นการประคองสถานการณ์ การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง และการใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการคลี่คลายปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในสภาพแวดล้อมที่ข่าวและการสื่อสารเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง ความระมัดระวังของอาเซียนกลับถูกมองว่าเชื่องช้า อ่อนแอ หรือไม่ทันใจสังคม
เมื่อความขัดแย้งถูกเล่าในกรอบชาตินิยมอย่างเข้มข้น พื้นที่สำหรับบทบาทของการเจรจาและกลไกระหว่างประเทศจึงยิ่งถูกบีบให้แคบลง ทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรงถูกทำให้ดูอ่อนแอ ขณะที่การตอบโต้กลับถูกยกให้เป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ใครกำลังออกแบบสงครามข่าวสาร
คำถามต่อมาที่ถูกโยนขึ้นบนเวที คือแล้วใครคือผู้ออกแบบสมรภูมินี้ตั้งแต่ต้น คุณสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการจากสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์ เสนอว่า ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากเหตุปะทะตรงหน้า แต่ถูก ‘ผลิตซ้ำ’ ผ่านกระบวนการสื่อสารอย่างเป็นระบบ โดยมีรัฐและกองทัพเป็นศูนย์กลางสำคัญในการกำหนดกรอบการเล่าเรื่อง
เขาชี้ว่า ในบริบทความมั่นคง กองทัพไม่ได้เป็นเพียงผู้ปฏิบัติการทางทหาร แต่ยังมีบทบาทในการกำหนดวาทกรรมเกี่ยวกับภัยคุกคาม ศัตรู และอธิปไตย ผ่านการให้ข้อมูล การบรีฟข่าว และการปล่อยรายละเอียดบางส่วนออกสู่สื่อในลักษณะที่ทำให้ความรับผิดชอบต่อข้อมูลไม่ชัดเจน
เมื่อสื่อรับและขยายกรอบเรื่องเล่าเหล่านี้โดยไม่ตั้งคำถามอย่างเพียงพอ สื่ออาจไม่ได้ทำหน้าที่รายงานความขัดแย้งอีกต่อไป หากแต่กำลังกลายเป็น กลไกหนึ่งของสงครามข่าวสารโดยไม่รู้ตัว ผลที่ตามมา คือความขัดแย้งถูกมองผ่านเลนส์ความมั่นคงเพียงด้านเดียว ขณะที่ต้นทุนทางเศรษฐกิจ ชีวิตของผู้คน และผลกระทบระยะยาวต่อสังคมค่อยๆ หายไปจากพื้นที่ข่าว
เมื่อเสียงของมนุษย์ค่อย ๆ หายไปจากสนามข่าว
คำเตือนสุดท้ายบนเวที ถูกทิ้งไว้ในมิติของ สิทธิมนุษยชน โดยนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ในภาวะความขัดแย้ง เสรีภาพในการแสดงความเห็นมักถูกยกขึ้นมาเป็นหลักการสำคัญ แต่เสรีภาพนั้นต้องไม่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความเกลียดชัง หรือปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรง
เขาชี้ว่า เสียงที่ถูกขยายมากที่สุดในช่วงวิกฤต มักเป็นเสียงที่เรียกร้องให้ตอบโต้หรือใช้กำลัง ขณะที่เสียงของประชาชนชายแดน แรงงานข้ามชาติ และผู้ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความไม่มั่นคง กลับถูกทำให้เงียบหายไปจากพื้นที่ข่าว
ในท้ายที่สุด หมอนิรันดร์เตือนว่า สงครามข่าวสารอาจไม่ทิ้งซากปรักหักพังให้เห็นชัดเจนเหมือนสงครามอาวุธ แต่สิ่งที่มันกัดกร่อนอย่างเงียบงัน คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความสามารถของสังคมในการมองเห็นกันและกันในฐานะมนุษย์










