ในที่สุด โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้รับการยกย่องบนเวทีระดับโลกในฐานะ ’ผู้นำสันติภาพ‘ หลังคว้ารางวัล ‘FIFA Peace Prize’ ที่เพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)
ฟีฟ่าระบุว่า รางวัลดังกล่าวมอบให้เพื่อยกย่องบทบาทของทรัมป์ในการส่งเสริมสันติภาพและความเป็นเอกภาพ สอดรับกับคำกล่าวอ้างของทรัมป์เองว่า เขามีส่วนช่วยยุติหรือคลี่คลายความขัดแย้งในหลายพื้นที่ ตั้งแต่เอเชีย แอฟริกา ไปจนถึงยุโรปตะวันออก
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ ’ผู้นำสันติภาพ‘ ของทรัมป์กลับเริ่มถูกตั้งคำถาม เมื่อความขัดแย้งในหลายพื้นที่ยังดำเนินต่อ โดยเฉพาะการปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งการหยุดยิงที่ผู้นำสหรัฐฯ อ้างบทบาทในการไกล่เกลี่ย ยังไม่อาจยุติความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
หยุดยิงบนกระดาษ กับความจริงในสนามรบ
The Guardian เผยแพร่บทบรรณาธิการแสดงมุมมองต่อความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า กรณีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนของช่องว่างระหว่างคำประกาศบนเวทีการทูตกับความเป็นจริงในพื้นที่ หลังโดนัลด์ ทรัมป์นำบทบาทการไกล่เกลี่ยหยุดยิงมาอ้างเป็นหนึ่งใน ‘ความสำเร็จด้านสันติภาพ’ บนเวทีนานาชาติ
แต่ในทางปฏิบัติ การหยุดยิงดังกล่าวกลับพังลงอย่างรวดเร็ว เมื่อการสู้รบกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้งในเวลาไม่นาน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง และมีรายงานผู้เสียชีวิต รวมถึงพลเรือนได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ซึ่งสวนทางโดยตรงกับภาพความสำเร็จด้านสันติภาพที่ถูกนำเสนอ
สื่ออังกฤษอธิบายว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อตกลงหยุดยิงไม่เป็นผล คือการที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่พร้อมอย่างแท้จริง โดยฝ่ายไทยยอมรับข้อตกลงอย่างไม่เต็มใจ ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจและการค้าเป็นเครื่องมือ ขณะที่กัมพูชาในฐานะฝ่ายที่อยู่ในตำแหน่งอ่อนแอกว่า เปิดรับบทบาทการแทรกแซงจากวอชิงตันมากกว่า
ซึ่ง The Guardian ชี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าแรงกดดันจากมหาอำนาจอาจสร้าง ‘ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์’ ได้ในระยะสั้น แต่ไม่อาจแตะต้องปัจจัยเชิงโครงสร้างของความขัดแย้ง ทั้งข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยืดเยื้อมากว่าศตวรรษ ความไม่ไว้วางใจสะสมระหว่างรัฐ และการเมืองภายในที่ใช้กระแสชาตินิยมเป็นเครื่องมือ ซึ่งทำให้ความขัดแย้งถูกยกระดับเกินกว่าประเด็นทางเทคนิค และทำให้สันติภาพยังคงเปราะบางในระยะยาว
บทบรรณาธิการของสื่ออังกษชิ้นนี้สรุปว่า กรณีของไทยและกัมพูชา เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง ‘ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์’ บนเวทีการทูต กับ ‘สันติภาพที่ยั่งยืน’ ในทางปฏิบัติ และแค่การประกาศความสำเร็จด้านสันติภาพก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าความรุนแรงในพื้นที่จะยุติลง หากยังไม่แตะต้องรากเหง้าทางการเมืองและโครงสร้างของความขัดแย้ง
การเมืองภายใน–ชาตินิยม ทำสันติภาพเป็นเพียงดีลชั่วคราว
มุมมองนี้สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของ นีร์มัล โกช คอลัมนิสต์ของ Channel NewsAsia (CNA) ซึ่งชี้ว่า การเมืองภายในของทั้งไทยและกัมพูชาคือปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้การหยุดยิงมีลักษณะเป็นเพียงข้อตกลงชั่วคราว มากกว่าการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงที่การเมืองของทั้งสองประเทศอยู่ในภาวะตึงเครียด
โกชอธิบายว่า ในบริบทเช่นนี้ ผู้นำทางการเมืองและกองทัพมีแรงจูงใจสูงในการแสดงท่าทีแข็งกร้าว เพื่อรักษาความชอบธรรมและคะแนนนิยมภายในประเทศ ขณะที่การประนีประนอมกลับมีต้นทุนทางการเมืองสูง และเสี่ยงถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอมากกว่าความพยายามคลี่คลายความขัดแย้ง
สำหรับฝั่งไทย ความตึงเครียดตามแนวชายแดนกลายเป็นพื้นที่ทางการเมืองที่เอื้อให้รัฐบาลรักษาการและกองทัพตอกย้ำบทบาทด้านความมั่นคง ท่ามกลางบรรยากาศก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่ฝั่งกัมพูชา ผู้นำก็เผชิญแรงกดดันไม่ต่างกันในการปลุกกระแสชาตินิยม เพื่อยืนยันความสามารถในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
สแกมเมอร์–มหาอำนาจ ตัวแปรซ้อนที่ทำให้ความขัดแย้งยิ่งเปราะบาง
คอลัมนิสต์ของ CNA ยังชี้ด้วยว่า ความขัดแย้งรอบล่าสุดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาชายแดน หากแต่ซ้อนทับด้วยปัจจัยอาชญากรรมข้ามชาติและเกมอำนาจของมหาอำนาจ โดยเป้าหมายของปฏิบัติการบางส่วนเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยข้ามชาติ มากกว่าจะเป็นโครงสร้างพลเรือนทั่วไป
เขาอธิบายต่อว่า การโจมตีเป้าหมายลักษณะนี้แทบไม่ก่อให้เกิดแรงต่อต้านจากประชาคมโลก และในบางกรณียังถูกมองว่าเป็นการจัดการปัญหาอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม เครือข่ายสแกมเมอร์มีความยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้สูง การใช้มาตรการทางทหารหรือความมั่นคงจึงไม่อาจตัดรากปัญหาได้จริง และกลับเพิ่มความซับซ้อนให้กับความขัดแย้ง
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชา ยังซ้อนทับอยู่บนการแข่งขันเชิงอิทธิพลระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กัมพูชาพึ่งพาจีนมากขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง ส่วนไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ควบคู่กับการถ่วงดุลจีนอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้การไกล่เกลี่ยใดๆ ต้องเดินอยู่บนเส้นบางของผลประโยชน์มหาอำนาจ และทำให้การหยุดยิงยังคงเปราะบางในระยะยาว
สันติภาพบนเวที กับความจริงในพื้นที่
ภาพรวมจากทั้ง The Guardian และ Channel NewsAsia สะท้อนตรงกันว่า ความพยายามไกล่เกลี่ยจากมหาอำนาจภายนอกอาจสร้างข้อตกลงหยุดยิงได้ในระยะสั้น แต่ไม่อาจทดแทนการแก้ไขรากเหง้าของความขัดแย้งที่ฝังลึก ทั้งการเมืองภายใน กระแสชาตินิยม และการแข่งขันเชิงอิทธิพลระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาค
ในบริบทเช่นนี้ รางวัล FIFA Peace Prize ที่ทรัมป์เพิ่งได้รับ จึงไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของการยกย่องบนเวทีโลก หากแต่ยังกลายเป็นชนวนคำถามถึงความหมายของคำว่า ‘สันติภาพ’ เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่จริงยังคงเปราะบาง และการหยุดยิงที่ถูกประกาศยังไม่สามารถยุติความรุนแรงได้อย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา ยังยิ่งตอกย้ำว่า ระหว่าง ‘ชัยชนะเชิงสัญลักษณ์’ กับ ‘สันติภาพที่ยั่งยืน’ ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ และการสร้างภาพผู้นำสันติภาพบนเวทีโลก ก็อาจไม่เพียงพอ หากสถานการณ์จริงในพื้นที่ยังคงเปราะบาง และความรุนแรงยังไม่ยุติลงอย่างแท้จริง










