“ไม่ใช่เกาหลีก็ไปที่อื่น” เมื่อ ‘แรงงานไทย’ เติบโตไม่ได้ในประเทศ? คุยกับ นักวิจัยมูลนิธิศักยภาพชุมชน

“ไม่ใช่เกาหลีก็ไปที่อื่น” เมื่อ ‘แรงงานไทย’ เติบโตไม่ได้ในประเทศ? คุยกับ นักวิจัยมูลนิธิศักยภาพชุมชน 

“เขา (เกาหลีใต้) ไม่ได้ต้องการจะปราบ แรงงานผิดกฎหมายหรอก แต่ต้องการจะ ‘ควบคุมปริมาณ’ มากกว่า” ปัญหาแรงงานข้ามชาติที่อยู่อย่างไร้สถานะ ไม่ต่างกับ ‘ไก่กับไข่’ อะไรเกิดก่อน ตามความเห็นของ ดนย์ ทาเจริญศักดิ นักวิจัย มูลนิธิศักยภาพชุมชน 

 

เหตุใดช่วงนี้คลิปติ๊กต๊อก ตำรวจวิ่งไล่จับแรงงานมีเกลื่อน ทำไมช่วงหนึ่งข่าวคนติด ตม. เกิดบ่อย? นี่เป็นข้อสังเกตที่เกิดขึ้น ทว่า ในสายตานักวิชาการด้านแรงงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อการควบคุมเชิงปริมาณ ยิ่งกว่านั้น อาจสะท้อนว่า ‘ระบบจัดหางานตามกฎหมาย’ ที่เรารู้จักในชื่อ EPS อาจไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด โดยเฉพาะช่องโหว่ของการให้อำนาจขึ้นอยู่กับผู้จ้าง ที่อาจหมายรวมถึงรัฐบาลเกาหลีใต้ เพียงฝั่งเดียว

‘เมาแล้วขับ-การพนัน-ยาเสพติด-เงินกู้นอกระบบ’ ป้ายประกาศที่ติดไว้ โดยสำนักงานตำรวจควานชาน เมื่อควังจู ปลายทางหนึ่งของแรงงานข้ามชาติ ขยายภาพการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่เข้มข้นขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมา

ต่อให้เกาหลีใต้ปิดประตูตาย แรงงานไทย รวมถึงทั่วเอเชียก็จะไปประเทศต่อไปอยู่ดี? เหตุใด ดนย์ จึงมองเช่นนี้ และสถานการณ์ลักษณะนี้ กำลังอธิบายแนวทางรับมือระยะยาวได้อย่างไร

 

[‘ผีน้อย’ ปัญหาฝังรากลึกอุตสาหกรรมเกาหลี]

จะว่าไป ประเด็นแรงงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ อาจชัดเจนจริงๆ ช่วงปี 2003 ที่มีการอนุญาตให้แรงงานทำงาน ผ่านระบบฝึกงานอุตสาหกรรม (ITS) ได้ 2 ปี แต่จะไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของกฎหมาย จนเกิดความไม่เป็นธรรม และละเมิดสิทธิมนุษยชน 

ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากหลบหนี ไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย รัฐบาลในช่วงเวลานั้น ถึงได้พยายามแก้ปัญหา โดยใช้ระบบอนุญาตจ้างงานแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS) ควบคู่กับวีซ่า E-9 (วีซ่าแรงงานต่างชาติไร้ฝีมือ) ที่ขยายให้ทำงานอย่างถูกต้องได้ถึง 3 ปี แถมยังมีสิทธิคุ้มครองและ ประกันสุขภาพเท่ากับแรงงานท้องถิ่น

ทว่า ตามข้อมูลปี 2025 เกาหลีกลับปรับลดโควต้าแรงงานต่างชาติ วีซ่า E-9 เหลือจำนวน 130,000 คน ลดลงกว่า 21% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2024 สวนทางกับสถานการณ์ ที่นายจ้างภายในประเทศยังต้องการแรงงาน แถมตัวเลขผู้ประสงค์เดินทางไปก็มีแต่จะหันหัวขึ้น

งานวิจัยของ สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาฯ  ในปี 2019 เคยอธิบายไว้ว่า แรงงานไทยในระบบ EPS ที่ผันตัวเองไปเป็นผีน้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ย้ายงาน แถมภาระการทำเอกสารก็ตกที่ผู้จ้าง ทำให้บางส่วนไปพึ่งพิงแรงงานผิดกฎหมายแทน

 

[ให้อำนาจนายจ้าง ‘ควบคุม’ ไม่ใช่ ‘คุ้มครอง’]

“การสร้าง EPS ขึ้นมา อยู่ภายใต้กรอบที่เกาหลีคิดหมดเลย ใช้วิธีการควบคุมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยที่เกาหลีคุมอำนาจหมด ตั้งแต่นายจ้าง รวมถึงรัฐบาล”

สิ่งที่ตามมา คือ เมื่อไหร่นายจ้างไม่ดี แรงงานจะหลุดออกจากระบบทันที ดนย์ ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า แรงงาน EPS มีประกันสุขภาพครบ หาหมอได้ทันที แต่ใต้ระบบนี้ ให้อำนาจนายจ้างร่วมตัดสินใจ ว่าจะใช้ประกันได้หรือไม่  “กลายเป็นสภาพเขาแย่กว่าแรงงานผีน้อยอีก ไม่ต่างจากทาสเลย คือทํางานเหนื่อยเท่าไหร่ก็ไปหาหมอไม่ได้”

ยิ่งกว่านั้น ‘การย้ายงาน’ ก็ให้อำนาจนายจ้างเซ็นอนุมัติ ทั้งที่ ควรมีหน่วยงานกลางเป็นผู้กำกับ

“เรื่องราวเนี่ย ก็ถูกส่งต่อในกลุ่มแรงงานว่า เออ อย่ามาเลย EPS ถ้ามาก็ลําบาก ไปแบบนี้ (ผิดกฎหมาย) ก็ได้…ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองแรงงาน แต่ผมมองว่า คุ้มครองพฤติกรรมแรงงานมากกว่า”

 

[ข้อเสนอ ‘ต่อรองร่วม’ แค่ขอให้ช่วยดูแลไม่พอ]

ในฐานะผู้ติดตาม และในหลายครั้งมีโอกาสยื่นข้อเสนอต่อผู้กำหนดนโยบาย รวมถึงฟากฝ่ายค้าน ดนย์ ตั้งข้อสังเกตว่า การผลักดันเชิงมาตรการค่อนข้างน้อย “เหมือนเราต่อรอง แบบไม่ได้ต่อรองด้วยซ้ำ เวลาไปคุยกัน เทคนิคของไทยจะเป็น ‘ขอให้ช่วยดูแล’ แล้วก็จบ” 

ดนย์ กล่าวถึง แนวทางการต่อรองร่วม ของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประสบปัญหาเดียวกันจากการทำสัญญา EPS เพื่อโอกาสในการเพิ่มอำนาจมากกว่า ทั้งฟิลิปปินส์ สปป.ลาว เมียนมา ติมอร์ ไม่เว้นกระทั่งกัมพูชา ทั้งนี้ ดนย์ ยอมรับว่าการต่อรองลักษณะ ไม่อาจเลี่ยงเงื่อนไขทางการเมือง ที่ต้องเอาบางสิ่งแลกเปลี่ยน ทว่า หากไทยมองว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ ย่อมคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างจริงจัง

เหตุหนึ่งที่การลงทุนต่อรองอาจเป็นผลนั้น คงต้องกล่าวถึงวิกฤตแรงงาน ที่มีการปราบปรามอย่างเข้มข้น ครั้งอดีตประธานาธิบดี ยุน ซอก-ยอล ผนวกกับการลดโควต้าแรงงานข้ามชาติ 

“เราจะรับเฉพาะชาวต่างชาติ ที่ตรงตามความต้องการของเรา โดยพิจารณาจากการประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วน” เป็นคำพูดของ ฮัน ดงฮุน รมว.ยุติธรรม ในตอนนั้น

สิ่งที่ตามมาในตอนนั้น คือ เกิดการลักลอบเข้าเมือง เพื่อทำงานแบบผิดกฎหมายเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง รายงานเมื่อปี 2023 ที่เดิมมีราว 100,148 คน ก่อนที่เดือนกันยายน 2024 จำนวนแรงงานผิดกฎหมาย จะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว พุ่งแตะ 190,000 คน 

ทั้งนี้ แรงงานจากไทย คิดเป็นสัดส่วนที่มากที่สุด คือ 145,000 คน หรือ 71% สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทาย ที่รัฐบาลเกาหลีใต้กำลังเผชิญในวิกฤตขาดแคลนแรงงาน ควบคู่ไปกับการควบคุมการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

เมื่อมาถึง อี แจ-มยอง ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่มีนโยบายปฏิรูปหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเพิ่มการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่แรงงานต่างชาติให้มากขึ้น โดยมีแรงงานไทยเป็นหนึ่งกรณีตัวอย่าง นั่นเอง ถึงมีการประเมินว่า แนวโน้มจัดการแรงงานต่างชาติ ทั้งถูกและผิดกฎหมาย ที่ดูมีทิศทางที่ดีมากขึ้น ก็เป็นไปเพื่อดึงแรงงานข้ามชาติ ให้เข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย ในวิกฤตขาดแคลนแรงงาน 

ตามความเห็นส่วนตัว ดนย์ มองว่า โควต้า EPS ถูกใช้ในการต่อรองทางการเมืองของเกาหลีพอสมควร อย่างกรณีที่ให้โควต้าเวียดนามสูง แลกกับการให้นักลงทุนไปเปิดตลาดในประเทศนั้นๆ ในขณะที่ไทย หลงดีใจกับโควต้าหลักหมื่น ทั้งที่แรงงานผิดกฎหมายหลักแสน

“ผมไม่เคยตอบได้เลยว่า เราได้อะไรจากการที่คนไปทํางาน นอกจากเงินส่งกลับ แต่ที่น่าเศร้า คือเหมือนเราเอาชีวิตแรงงานไปแลก…สถานทูตไทยทําเยอะ แต่มันควรมีการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย พูดชัดๆ ว่าเราแคร์คนของเรานะ เราจริงจังกับการเป็นอยู่ของแรงงาน”

ดนย์ ขยายความว่า การเอาคำว่า ‘แรงงานผิดกฎหมาย’ มาปัดความรับผิดชอบเป็นเรื่องไม่สมควร เพราะคนกลุ่มนี้ก็ส่งเงินกลับมาหมุนเวียนในประเทศไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นเขายังช่วยพัฒนา ‘ทรัพยากรมนุษย์’ ในประเทศ

“ถ้าศึกษาไปต่อ คุณค่าเรื่องนี้เยอะนะครับ มันกลายเป็นว่าถ้าเราไม่ให้คุณค่าตั้งแต่ต้นน่ะ มันก็เลยไม่มีคุณค่าเลย แล้วแรงงานกลายเป็นว่าเอาชีวิตเข้าไปแลก อยู่ต่างแดน มันน่าเศร้ามากเลยนะ”

 

[แรงงานอยาก ‘ตั้งถิ่นฐานถาวร’ จึงแก้ไม่ได้?]

ดนย์ ให้ความเห็นว่า อาจไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว ว่าตกลงแล้วการแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ต้องเป็นความรับผิดชอบของประเทศต้นทาง หรือ ปลายทาง กันแน่ ทว่า ระหว่างทางเหล่านี้ ไทยควรเรียนรู้ที่จะสร้างระบบสนับสนุนทักษะ นวัตกรรม ที่จะรองรับแรงงานให้มีโอกาสเติบโตในประเทศ

“เขาเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาได้นะ มาออกแบบชุมชนใหม่ เอาความรู้จากหลากหลาย เราไปตั้งหลายประเทศนะ ไม่ได้ไปแต่เกาหลี คือถ้ามันมีศูนย์ที่คอยเอาจุดนี้ มาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ โอโห้ ทําได้เยอะเลยนะ”

พูดง่ายๆ คือ ระบบการส่งแรงงานเพื่อไปทำงานต่างประเทศ จะต้องไม่จบแค่ไปทำงาน แต่ต้องคิดถึงการรองรับเมื่อสิ้นสุดสัญญาด้วย

“ถ้าเห็นแค่ไปทํางาน แล้วก็กลับมา สุดท้ายกลับมาปุ๊บพี่น้องอยู่ไม่ได้อีก ด้วยความที่ไม่มีการพัฒนาชุมชน เขาก็ต้องกลับไปทํางานอีก บางคนถึงได้ไป 5-6 ประเทศแล้ว”

จริงๆ แล้วคนที่ไปทํางานต่างประเทศ เป้าหมาย คือ ตั้งถิ่นฐานถาวร? เป็นคำถามที่ตามทุกครั้ง เมื่อเกิดข้อเสนอพัฒนาระบบแรงงานในประเทศ ดนย์ เริ่มต้นตอบข้อคำถามนี้ ด้วยการเล่าถึงวิถีของคนไทยในต่างแดน ที่รักบ้านเกิด รักครอบครัว รักชุมชน แต่ต่างต้องจากบ้านเพราะมีเงื่อนไขชีวิตเบื้องหลัง

“ส่วนใหญ่หนึ่งคนน่ะ ดูแล 4 ปาก 5 ปาก หนึ่งคนดูแลหลายปาก เป็นคนดูแลทั้งครอบครัว เพราะฉะนั้น การอยู่ต่างประเทศของเขา ผูกมัดกับชีวิตที่อยู่ในไทย”

เช่นเดียวกัน ‘ผีน้อย’ ก็ดิ้นรนย้ายถิ่นฐาน เพื่อหารายได้ ถึงได้ฟังเสียงบ่อยครั้ง ที่แรงงานข้ามชาติ กล่าวถึงชีวิตบั่นปลายว่า “ใช้หนี้เสร็จก็กลับ”

ดนย์ ฉายภาพต่อว่า แรงงานที่กลับจากเกาหลีใต้จำนวนหนึ่ง ก็ไม่ได้ปักหลักยังบ้านเกิด ต้องไปทำงานยังหัวเมืองใหญ่ โคราช พัทยา เชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ ถึงตอนนี้ จึงไม่ยากที่จะตีความไปว่า ปัญหาที่แท้จริง คือ ‘ราก’ ของโครงสร้างระบบในไทย ที่ไม่เปิดโอกาสให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากพอ

ผนวกกับช่องว่างในประเทศนั้นๆ อย่างเกาหลีใต้ที่ขาดแคลนแรงงานหนัก อัตราการเกิดต่ำ แถมคนจบใหม่ก็ไม่ได้ทำในตลาดที่ขาดแคลน ดังนั้น การได้แรงงานภายนอกไปเติม จึงเป็นจังหวะที่ลงตัว

“เกาหลีเป็นแค่หนึ่งในปลายทางเอง ไม่ได้เป็นที่ต้องการจะไป แต่เป็นที่ที่เขาไปได้มากที่สุดในตอนนี้ เขาก็เลยไป ผมเชื่อถ้าเกาหลีปิดนะ ไม่มีเกาหลี หรือสามารถจัดการกับเรื่องผีน้อยได้ ส่วนมากจะไปที่อื่นต่อครับ”

ช่วงท้ายของการพูดคุย ดนย์ กล่าวว่า กรณีของแรงงานข้ามชาติที่ผิดกฎหมาย เมื่อไม่ได้รับการแก้ไข ท้ายสุดมีเพียง ‘รัฐ’ และ ‘นายจ้าง’ ที่ได้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเช่นนี้ในทุกประเทศ ไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น “สุดท้ายรัฐก็จะใช้มุมมองที่ว่า National security ผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน เขาไม่มีทางที่จะให้แรงงานเหล่านี้ มีสิทธิ์เท่าคนในชาติหรอก”

อธิบายใกล้ตัวขึ้น ดนย์ ยกตัวอย่างสถานการณ์แรงงานเมียนมา ที่อยู่ในไทย ซึ่งเผชิญสถานการณ์ไม่ต่างกัน

“ไม่มีที่ไหนแก้ ของเราก็แก้ปัญหาเมียนมาไม่ได้เหมือนกัน สุดท้ายเข้ามา มันจบที่รัฐบอกว่าคนพวกเนี่ยผิดกฎหมาย มันเป็นไม้ตายของรัฐ” ดนย์ กล่าวทิ้งท้าย

SmitananWriterSmitanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง