ในยุค 1960 ท่ามกลางสงครามเย็นที่โลกแบ่งขั้ว มีหญิงไทยคนหนึ่งที่ใช้ผ้าไทยและความงดงามเป็นอาวุธลับ ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างไทยอยู่ในสายตาของโลก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชินี ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในราชีนีที่งดงามที่สุดในโลก แต่สิ่งที่ทรงทำมากกว่านั้น คือการสื่อสารผ่านแฟชั่นหรือจะเรียกว่า ‘การทูตผ่านแฟชั่น’ ก็คงจะไม่ผิด
เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ มีชื่อของคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญ คือ ปิแอร์ บัลแมง (Pierre Balmain) ดีไซน์เนอร์ฝรั่งเศส ผู้ออกแบบ ตั้งแต่ชุดราตรี เสื้อผ้าสากล ไปจนถึง แอคเซสซอรี่สำหรับ Royal Tour หลายเดือนที่เปลี่ยนโฉมหน้าผ้าไทยในสายตาชาวโลก
ชีวิตเด็กชาย ปิแอร์ บัลแมง จากลูกพ่อค้าผ้าสู่ดีไซน์เนอร์
บทความในเว็บไซต์ ของบัลแมง Voguepedia เล่าว่า ปิแอร์ อเล็กซ็องดร์ โคลดียุส บัลแมง (Pierre Alexandre Claudius Balmain) เกิดที่แซงต์-ฌ็อง-เดอ-มอรีแยนน์ (St-Jean-de-Maurienne) ในแคว้นซาวัวของฝรั่งเศส ในปี 1914
พ่อของเขาเป็นพ่อค้าขายส่งผ้า ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่เขาอายุได้แค่ 7 ปี ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่มเพียงไม่กี่เดือน ทิ้งเขาไว้ให้ ฟร็องซวาซ์ (Françoise) ผู้เป็นแม่ ที่เปิดร้านตัดเสื้อกับพี่น้องชื่อว่า Galeries Parisiennes ดูแล ทำให้เด็กชายปิแอร์เติบโตขึ้นมากับผืนผ้า และศิลปะของการตัดเย็บตั้งแต่ยังเล็ก แม้มารดาจะหวังใจให้เขาเป็นหมอประจำกองทัพเรือ แต่ปิแอร์ก็เริ่มหลงใหลในโลกโอต์กูตูร์ หลังจากได้แรงบันดาลใจจากเหล่าผู้หญิงในสังคมชั้นสูง ที่เขาได้พบเจอ
และในปี 1933 บัลแมงย้ายไปปารีส เมืองที่เป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและโอกาส เพื่อศึกษาด้านสถาปัตยกรรม แต่ไม่นานเขาก็เลิกเรียน เมื่อความหลงใหลในโลกแฟชั่น ผลักดันให้ออกตามหาหนทางสู่วงการนี้อย่างเต็มตัว
งานแรกของ ปิแอร์ บัลแมง ในวงการแฟชั่น คือการทำงานให้กับ เอ็ดเวิร์ด มอลีนูซ์ (Edward Molyneux) ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ ที่กำลังดังถึงขีดสุด ณ ขณะนั้น ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจในความเรียบง่าย ไม่ฟู่ฟ่าเกินจำเป็น และความสำคัญของโครงสร้างเสื้อผ้าที่ดีมาจากการทำงานที่นี่นั่นเอง

ทำงานอยู่ได้ไม่กี่ปี ในปี 1939 เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก็ถูกเรียกตัว ทิ้งเข็มและด้ายไปจับปืนรบ แม้หลังจากนั้นฝรั่งเศสจะแตกพ่าย แต่ก็ยังโชคดีที่เขาไม่ได้ถูกส่งตัวไปใช้แรงงานที่เยอรมัน แต่ได้กลับมาปารีส และทำงานกับ ลูเซียง เลอลง (Lucien Lelong) นักออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูงชาวฝรั่งเศส ที่มีชื่อเสียงในช่วงทศวรรษ 1920 ถึง 1940
ที่นั่น บัลแมง ได้ทำงานกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง อูแบร์ เดอ จีวองชี และ คริสเตียน ดิออร์ อีกด้วย
กระทั่งปี 1944 หลังจากที่ปารีสหลุดจากการยึดครองของเยอรมัน ปิแอร์ บัลแมง ก็ตัดสินใจเริ่มแบรนด์กูตูร์ของตัวเอง ตอนอายุ 30 ปี แม้ผู้คนในปารีสจะยังเผชิญความยากลำบาก แต่เขาก็มองโลกในแง่ดีและฝันถึงวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม และในเดือนตุลาคมปีต่อมา เขาก็สร้างสรรค์คอลเลกชันแรกของตัวเองออกมา ซึ่ง อลิซ บี. โทคลาส นิยามว่าเป็น ‘New French Style’
นี่คือสิ่งที่เขียนในเว็บไซต์ของ Balmain ทุกอย่างเหมือนจะเรียบร้อยสวยงาม แต่ที่จริงแล้ว กว่าเขาจะเปิดแบรนด์ของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
อุปสรรคของบัลแมง
แม้ว่าจะมีวาทศิลป์ดี มีความมั่นใจในตัวเอง และมีเสน่ห์ในการพูดจา บัลแมงสามารถระดมทุนก้อนใหญ่ถึงหนึ่งล้านฟรังก์ เพื่อก่อตั้งธุรกิจของตัวเอง แต่นั่นก็ยังไม่พอ
บทความจาก Business of Fashion ระบุว่า บัลแมงยังต้องกู้ยืมเพิ่มอีก 200,000 ฟรังก์จากแม่ และขายหุ้นหนึ่งในสามของกิจการให้เพื่อนสองคน เพื่อแลกกับเงินลงทุนจำนวนใกล้เคียงกัน แต่ทั้งสองกลับถอนตัวออกจากข้อตกลง ทิ้งให้บัลแมงเหลืองบน้อยกว่าที่คาดคิด แต่สุดท้ายเขาก็รวบรวมเงินมาเปิดร้าน และออกคอลเล็คชั่นแรกจนได้
ด้วยงบจำกัด ทั้งเขา แม่ และป้า รวมถึงช่างเย็บทำงานหนัก หามรุ่งหามค่ำ ซดกาแฟดำ ทำงานร่วมกันอยู่หลายคืน แม่ดูแลการตกแต่งชุดขึ้นสุดท้ายด้วยตัวเอง ป้ามาช่วยทำหมวดทรงพิลบอกซ์ และเขาก็ต้องมานั่งเย็บซับในเสื้อคลุมด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยใช้จักรเย็บผ้ามาก่อนเลย บัลแมงบันทึกไว้ในหนังสือ My Years and Seasons ว่า ‘เมื่อเหล่าช่างเย็บเริ่มสัปหงกเป็นการใหญ่ เราก็ให้พวกเธอนอนพักบนพื้น โดยใช้ม้วนผ้าชั้นดีของเราต่างหมอน พวกเราทุกคนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ความตื่นเต้น และศรัทธาแรงกล้าว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นจะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงาม’
แต่ก่อนจะสำเร็จ บัลแมง ต้องเจอกับเหตุการณ์ อย่างที่ดีไซน์เนอร์ใหญ่เลื่อนงานมาชน จนเขาต้องโทรหา มาดามเกรส์ และพูดตรงๆ กับเธอว่า “มาดามครับ ผมเป็นดีไซเนอร์มือใหม่ และไม่มีเงินเลย ผมส่งบัตรเชิญไปหมดแล้ว และไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าส่งโทรเลขเพื่อยกเลิกได้ คุณมีกำหนดโชว์สัปดาห์ที่แล้ว—ช่วยเลื่อนวันอีกครั้งได้ไหมครับ?”
โชคดีที่เธอตกลงเลื่อนวันอีกครั้ง ทำให้เขาได้จัดงานในวันที่ 12 ตุลาคมสมใจ ถึงวันงานจะโดนตำรวจบุกมาแจ้งหมายขับไล่ภายในสามวัน จนบัลแมงต้องตะโกนไล่ แต่สุดท้ายแฟชั่นโชว์ที่อยู่ภายใต้ธีม ‘ความหรูหราผสมความเรียบง่าย’ พร้อมกลิ่นอายตะวันออกเล็กน้อย ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ด้วยการสนับสนุนของ เกอร์ทรูด สไตน์ นักเขียน กวี และนักสะสมงานศิลปะ และ อลิซ โทคลาส นักเขียน ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยสงคราม เพราะพวกเธอย้ายไปอยู่หมู่บ้านใกล้เมืองที่แม่เขาอาศัยอยู่ โดยพวกเธอพา เซซิล บีตัน ช่างภาพชื่อดังมาด้วย และเมื่อ เซซิล บีตัน นำเสื้อผ้าของบัลแมงมาถ่ายแบบลง Vogue ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขึ้นไปอีก
เขามีลูกค้าที่มีชื่อเสียงมากมาย ทั้งดาราอย่าง อิงกริด เบิร์กแมน และ บริจิตต์ บราโดต์ ไปจนถึงราชวงศ์ ด้วยสไตล์สุภาพสตรีที่สง่างาม
การเจอกันของราชินีไทย และดีไซน์เนอร์ระดับโลก
จุดเริ่มต้นของการที่บัลแมงได้เข้ามาทำงานเป็นผู้ออกแบบชุดให้กับ การเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาและยุโรป ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เกิดขึ้นจากการแนะนำของ คุณหญิงอุไร ลืออำรุง
โดย พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เรื่อง ‘ความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ’ ได้บรรยายเหตุการณ์ไว้ว่า
“การตามเสด็จอเมริกาและยุโรป เมื่อหน้าร้อน พ.ศ. 2503 นับว่าเป็นการตามเสด็จทางราชการครั้งใหญ่ที่สุดครั้งแรกของข้าพเจ้า รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าตื่นเต้นไปหมด การตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงเรา โดยเฉพาะสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง เพราะการเสด็จไปตั้ง 15 ประเทศก็ต้องเสียเวลาหลายเดือน คือตั้งแต่หน้าร้อนฤดูใบไม้ร่วง จนถึงหนาวหิมะตก เสื้อผ้าจึงต้องเตรียมไปสำหรับทุกหน้าและทุกโอกาส”
โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้เชิญภริยาราชฑูตมาสอบถาม และปรึกษาเรื่องการแต่งกาย ถึงแม้จะได้ข้อมูลมา แต่เหล่าภริยาราชฑูตก็ลงความเห็นกันว่า เนื่องจากทรงเสด็จไปในฐานะพระบรมราชินีนาถของไทย และเป็นผู้แทนของหญิงไทยทั้งชาติ บริบทและการแต่งกายนั้นน่าจะเป็นคนละเรื่องกัน ทำให้สุดท้าย ทรงต้องตัดสินพระทัยเองว่าจะแต่งกายอย่างไรให้เหมาะกับโอกาส โดยมีการค้นภาพถ่ายเก่าๆ ของสตรีในราชสำนักมาเพื่อศึกษา
“แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยเรามักชอบแต่งกายกันตามสบาย ให้เหมาะแก่ความสะดวก ความประหยัด และอากาศของเมืองเราเท่านั้น ฉะนั้น เครื่องแบบประจำชาติของเราจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีประจำอยู่เป็นแบบฉบับอย่างของเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก เช่นสาหรีของชาวอินเดีย เครื่องแต่งกายของชาวจีน และกิโมโนของชาวญี่ปุ่น เป็นต้น บรรดาพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด ต่างก็แนะนำให้ข้าพเจ้านุ่งผ้าซิ่นอย่างไทยๆ นี่แหละไปทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าตกลงใจที่จะกระทำตาม เพราะมีปัญหาขัดข้องเรื่องเสื้อที่จะสวมกับผ้าซิ่น ด้วยเรายังไม่มีเสื้อที่จะใช้เป็นแบบฉบับ”
ในสมัย สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ พันปีหลวง จะเป็นการนุ่งโจงกระเบนคู่กับฉลองพระองค์เป็นคอปิดแขนหมูแฮม หรือไม่ก็แต่งฝรั่งอย่างเต็มที่ หรือ พระมเหสีของรัชกาลก่อนๆ ก็ทรงพระภูษาเยียรบับจีบสายรัดพระองค์ทองบ้าง ผ้าเขียนทองบ้าง ทรงสะพักปักทับแพรจีบ หรือจะทรงฉลองพระองค์พระกรยาว เห็นคอฉลองพระองค์ตั้งสูง แล้วทรงสไบปักทับ
มาถึงช่วงในรัชกาลที่ 6 พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ก็ทรงผ้าซิ่นป้าย โดยฉลองพระองค์จะตามแบบฝรั่ง สมัยหลังสงครามโลกครั้งแรก
แต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ก็มองว่าไม่เหมาะ เพราะเกรงว่า “หนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็จะวิจารณ์กันยิ่งใหญ่ ว่าเสื้อประจำชาติไทยที่พระราชินีทรง นี่แบบไหนกันแน่หนอ ฝรั่งก็ไม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง”

จนในที่สุดก็ทรงตัดสินพระทัยว่าจะจะใช้เครื่องแต่งกาย ทั้งแบบไทยและสากล เพื่อให้เหมาะแก่โอกาส และอากาศ กว่าการแต่งไทยอยู่อย่างเดียว เช่นเดียวกันกับเหล่าเจ้านายญี่ปุ่น ที่มีการทรงชุดสากลในบาง
เครื่องแต่งการชุดไทยในการโดยเสด็จต่างประเทศในครั้งนั้น หลายคนเข้าใจว่าบัลแมงเป็นผู้ออกแบบ แต่ตามที่ระบุในหนังสือ ‘งามสมบรมราชินีนาถ’ นั้น คนที่อยู่เบื้องหลังคือ หม่อมหลวงมณีรัตน์ บุนนาค ผู้มาช่วยค้นคว้าเครื่องแต่งกายแบบไทยสมัยต่างๆ และคุณหญิง อุไร ลืออำรุง ที่มาช่วยเลือกแบบผสมกัน และตัดเย็บ ออกมาเป็นชุดไทยทั้งหมด 5 แบบ โดยภายหลังมีการออกแบบเพิ่มเติมอีก 3 แบบ รวมกันออกมาเป็นชุดไทยพระราชนิยม ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
สำหรับ ปิแอร์ บัลแมง รับดูแลตัดเย็บเพียงฉลองพระองค์ชุดสากลเท่านั้น ส่วนผลงานชุดไทยของ ปิแอร์ บัลแมง และปักประดับโดย เลอซาจนั้น ถูกสร้างสรรค์ขึ้นในภายหลัง
เช่น ฉลองพระองค์ชุดไทยสไบสองชายสีทอง ทรงในการเสด็จฯ ไปในงานเลี้ยงพระกระยาการค่ำ ในคราวเสด็จไปเยือนประเทศออสเตรีย ปี 1964 ฉลองพระองค์ชุดไทยแบบผสมผสาน จากปี 1967 เป็นต้น
สำหรับเครื่องแต่งกายชุดสากล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ก็ได้เล่าไว้ว่า “เมื่อแรกเริ่มรัฐบาลในขณะนั้น มีการเสนอว่าจะให้ช่างจากดิออร์มาช่วยคิดแบบ และตัดฉลองพระองค์ให้ พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายงบประมาณ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอให้รัฐบาลไม่ต้องห่วง และใช้ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดการเรื่องดังกล่าว”
ระหว่างที่กำลังเตรียมการเสด็จพระราชดำเนินกันอยู่ ปิแอร์ บัลแมง ก็เดินทางจากออสเตรเลียมาแวะพักที่ประเทศไทย ก่อนจะกลับฝรั่งเศส และรู้จักกับฟรองซัลส์ ดูโอ เดอ บรองซ์ นักตกแต่งภายในที่เป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน เดอ บรองซ์ได้แนะนำบัลแมงให้รู้จักกับคนในวงสังคมของไทยหลายคน อย่าง พระองค์เจ้าวิภาวดี รังสิต ผู้เป็นนางสนองพระโอษฐ์ และ จิม ทอมป์สัน ด้านคุณหญิงอุไร ลืออำรุง ก็แนะนำให้ทรงเชิญบัลแมงมาปรึกษาเรื่องเครื่องแต่งกายสากล
“ไม่นานต่อจากนั้นก็มีข่าวลือว่าช่างออกแบบเสื้อมีชื่อเสียงของฝรั่งเศสอีกรายหนึ่ง ซึ่งไม่มีร้านใหญ่โตมีชื่อเสียงเท่าดิออร์ กำลังเดินทางทั่วโลก และกำลังแวะมาเที่ยวกรุงเทพฯ อยู่ในขณะนั้น อุไรจึงแนะนำให้ข้าพเจ้าเชิญมาพูดจาดู เผื่อเขาจะได้ช่วยเหลือแนะนำเรื่องการแต่งกายที่จะใช้ในการตามเสด็จ”
“เพราะชุดขนสัตว์ เฟอร์โอเวอร์โค้ต ถุงมือและหมวก เป็นสิ่งที่สุดความสามารถของช่างตัดเสื้อไทยในขณะนั้น อุไรมีความเห็นว่า ช่างออกแบบเสื้อฝรั่งเศสผู้นั้น เป็นผู้ที่ออกแบบเสื้อที่เรียบแต่เก๋มาแต่ไหนแต่ไร ดีที่เขาอยู่ในกรุงเทพแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเรียกมาจากปารีส ซึ่งเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้นายปิแอร์ บัลแมง มาเป็นช่างตัดเสื้อและออกแบบเสื้อผ้าสากลที่ใช้เวลาตามเสด็จไปต่างประเทศทางราชการครั้งนั้นและครั้งต่อๆ ไป”
“การที่จะตามเสด็จไปเยี่ยมประเทศต่างๆในยุโรปและอเมริกาตั้งเจ็ดเดือนนี้ ข้าพเจ้าจำต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใช้หน้าร้อนที่อเมริกาและหน้าหนาวที่ยุโรป ซึ่งต้องใช้เฟอร์หลายชนิด ทั้งที่สวมและที่ห่ม เช่น ตอนกลางคืนเวลาไปงานเต็มยศ พระราชินีหรือภริยาประมุขประเทศต่างๆ มักนิยมห่มเฟอร์สีขาว เวลาที่หรูน้อยหน่อย หรือตอนกลางวันที่ค่อนข้างหรูก็เฟอร์สีได้ เราไม่ค่อยทราบกันว่า เฟอร์ชนิดไหนเป็นเฟอร์ที่หรูกว่าชนิดไหน และชนิดไหนควรใช้ในโอกาสใด จึงจะไม่ให้ผิดแปลกไปจากคนอื่นในที่เหล่านั้น ถ้าเราพลาดไปเพราะไม่รู้ก็จะเปิ่นโดยใช่เหตุ ด้วยเหตุฉะนี้ที่ข้าพเจ้าต้องอาศัยช่างต่างประเทศมาช่วย เพราะเขาเป็นผู้รู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ”

ฉลองพระองค์ชุดไทยครั้งแรกใน Royal Tour
ความสำคัญของการแต่งกายให้ตรงกับความคาดหวัง และการเผยแพร่วัฒนธรรมในยุคนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะประเทศไทยยังเป็นประเทศใหม่ ในสายตาประชาชนชาวยุโรปและสหรัฐอเมริกา และแน่นอนว่า ความเข้าใจในการแต่งกายแบบไทยก็ยังมีอยู่จำกัดเช่นกัน ทำให้การตัดสินใจหนึ่งครั้ง อาจส่งผลไปถึงพาดหัวหนังสือพิมพ์ ดังเช่นเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ทรงฉลองพระองค์ชุดไทยออกงานเป็นครั้งแรก
“เรื่องมีอยู่ว่า ในวันที่นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอนมีงานเลี้ยงพระกระยาหารกลางวัน ถวายเป็นพระเกียรติแก่พระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้าที่กิลด์ฮอลล์นั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นงานใหญ่ คงจะมีผู้คนเฝ้าแหนไม่น้อย น่าที่ข้าพเจ้าจะอวดเครื่องแต่งกายแบบไทยของเราบ้าง เพราะที่อเมริกาไม่มีงานใหญ่ที่จะไปในตอนกลางวันเช่นนั้นเลย ข้าพเจ้าจึงแต่งแต่ชุดสากลเรื่อยมา เมื่อปรึกษาพรรคพวกฝ่ายใน และตกลงกันเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จัดแจงให้โทรศัพท์ไปแจ้งที่ภริยาราชทูต และภริยาข้าราชการสถานทูตไทยที่จะไปในงานให้ทราบว่า ข้าพเจ้าจะแต่งชุดไทยไปกิลด์ฮอลล์ ผู้ใดจะแต่งกายอย่างไรก็ได้แล้วแต่จะสะดวก แต่งไทยก็ได้ ฝรั่งก็ตามสบาย”
วันนั้นเป็นงานใหญ่ที่พระองค์ต้องทรงรถม้าเปิดหลังคา จากพระราชวังไปกิลด์ฮอลล์ ในวันที่ฝนตกพรำๆ ด้วยความที่อากาศเย็น ทำให้พระองค์ใช้เฟอร์สีน้ำตาลออกสวมทับชุดไทย โดยทรงเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ว่า
“แต่ตอนเย็นวันนั้นเองเราก็ตกใจ เมื่อหนังสือพิมพ์อังกฤษบางฉบับพาดหัวตัวใหญ่ว่า ‘Queen Sirikit Rode Hatless to Guild Hall’ (พระราชินีสิริกิติ์ขึ้นรถม้าไปกิลด์ฮอลล์โดยไม่สวมพระมาลา) พร้อมทั้งมีรูปเราสองคนนั่งรถมาเมื่อตอนกลางวันประกอบข่าว”
“ข้าพเจ้าเข้าใจทันทีว่าการที่หนังสือพิมพ์อังกฤษลงข่าวคล้ายตกใจ ที่พระราชินีไทยไม่สวมหมวกไปในงานใหญ่ของนายกเทศมนตรีของเขา เขาคงจะคิดว่าเราไม่ให้เกียรติแก่งานของเขาละกระมัง เพราะตอนนั้นเขายังไม่ทราบว่า เราแต่งชุดไทยของเรา ก็เพราะเราให้เกียรติแก่เขาต่างหากเล่า ข้าพเจ้าขอรับว่าเป็นความบกพร่องของข้าพเจ้าเอง ที่ปากหนักไม่ได้แจ้งให้หนังสือพิมพ์ทราบเรื่องเครื่องแต่งกายไว้ก่อน”
“เมื่อปีที่แล้วครั้นข้าพเจ้าแต่งชุดไทยไปงานที่ลอนดอนอีก ทุกคนก็ดูสบายใจดีไม่เห็นโวยวายรู้สึกว่าข้าพเจ้าขาดหมวกขาดถุงมืออีก เห็นจะเป็นเพราะในปัจจุบันฝรั่งรู้จักเครื่องแต่งกายประจำชาติของเราแล้วกระมัง”
ฉะนั้นการแต่งกายจึงเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ฉลองพระองค์เครื่องแต่งกายสากลโดย ปิแอร์ บัลแมง
สำหรับฉลองพระองค์เครื่องแต่งกายสากล บัลแมงออกแบบ โดยใช้ทั้งแบบจากคอลเล็คชั่นของเขา เปลี่ยนสี เนื้อผ้า และปรับแบบ หรือแบบที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่
สีสันในชุดกลางวันมักจะโดดเด่น เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายในฝูงชน และมีการใช้ความเป็นไทยใส่ไว้ในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าไหมไทย และผ้าไหมพิมพ์ลาย หรือการใช้สีประจำวันของไทยในการออกแบบด้วย
ปิแอร์ บัลแมง เอง ก็ได้บันทึกถึงเหตุการณ์นี้ ไว้ในอัตชีวประวัติของเขาเรื่อง My Years and Seasons เช่นกัน ว่า ‘เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นักออกแบบเสื้อผ้าหวังจะได้ทำ รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้แต่งพระองค์ ให้กับสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ที่ยังทรงพระเยาว์ และมีพระสิริโฉมงดงาม’

โดยนอกจากฉลองพระองค์แล้ว เขามีส่วนร่วมในการให้คำแนะนำและจัดหา พระกระเป๋า ฉลองพระหัตถ์ ถุงพระบาท ฉลองพระบาท ตลอดจนการออกแบบพระมาลา รวมถึงการให้คำปรึกษาในการเลือกเครื่องประดับที่เข้ากับชุดอีกด้วย
การทูตทางแฟชั่น (Fashion Diplomacy) ที่มาก่อนกาลครั้งนั้น ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ชาวต่างชาติที่อาจะไม่คุ้นเคยกับประเทศไทย ก็มีภาพจำใหม่กับประเทศเล็กๆ จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน
นอกจากนี้ ภาพเหล่านี้ยังเป็นหลักฐานชั้นเยี่ยม เกี่ยวกับการพัฒนาของชุดไทยที่เราใช้ในปัจจุบัน ที่เปลี่ยนจากการนุ่งห่มมาเป็นการตัดเย็บโดยมีแพทเทิร์น และสุดท้ายทรงมอบมรดกให้แผ่นดินไทย เป็นชุดไทยพระราชนิยม 8 แบบ ที่ถูกนำมาใช้จนถึงวันนี้
จากวันนั้น ปิแอร์ บัลแมง กลายเป็นดีไซน์เนอร์ผู้ครองใจ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ถึง 22 ปี ทุกชิ้นงานที่ออกจากห้องเสื้อ ไม่ได้เป็นแค่เสื้อผ้า แต่สะท้อน พระราชกรณียกิจด้านผ้าไหมไทย อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในยุค 1970s เมื่อพระองค์หันมาสนพระทัยใน ผ้าไหมมัดหมี่ ห้องเสื้อบัลแมงก็ตอบรับ ด้วยการสร้างสรรค์ฉลองพระองค์จากผ้ามัดหมี่ ยกระดับผ้าพื้นบ้านสู่ระดับโลก
ก่อนที่ ปิแอร์ บัลแมง จะเสียชีวิตในปี 1982 โดยสิ่งที่เขาสร้างร่วมกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ นั้นพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แฟชั่นไม่ได้เป็นแค่ผ้ากับด้าย แต่คืออาวุธทางการทูตที่ทรงพลัง ซึ่งสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศได้ภายในพริบตา
จากวันที่โลกแทบไม่รู้จักประเทศเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นวันที่ทั้งโลกจดจำ ผ้าไทย ชุดไทย และความงดงามของวัฒนธรรมไทย ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้แค่สร้างเสื้อผ้า แต่เป็นการเขียนประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งให้กับประเทศไทย
อ้างอิงจาก










