‘ทรัมป์‘ ล็อคเป้า แคนาดา,เม็กซิโก,จีน เป้าหมายกลุ่มแรก ถูกรีดภาษีนำเข้าสินค้า จี้รีบจัดการปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมาย, ลักลอบส่งเฟนทานิลเข้าสหรัฐฯ ก่อน 1 ก.พ. ไม่งั้นโดนแน่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับมาตรการทางภาษี หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีมาแค่ 2 วันโดยมุ่งเป้าไปที่เม็กซิโกแคนาดาและจีน
อย่างเม็กซิโกและแคนาดา ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่งเลยว่า จะขึ้นภาษีทั้งสองประเทศนี้ 25% หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายและจัดการกับการลักลอบขนส่งสารเสพติดเฟนทานิลเข้าไปในสหรัฐฯ
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ได้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องภาษีอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็น จีน โดยเขาประกาศจากห้องทำงานรูปไข่ ซึ่งเป็นห้องทำงานประจำตำแหน่งประธานาธิบดี ในทำเนียบขาวว่า “เขากำลังพิจารณาจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พร้อมกับแคนาดาและเม็กซิโก ที่เขาประกาศมาก่อนหน้านี้”
โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุเหตุผลที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนว่า เป็นเพราะจีนยังส่งเฟนทานิลจำนวนมากเข้ามาในสหรัฐฯ ผ่านเม็กซิโกและแคนาดา
ตรงนี้กลายเป็นจุดที่น่าสนใจของเรื่องนี้เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ยกเรื่องเฟนทานิลมาเป็นข้ออ้างในการรีดภาษีจากจากเม็กซิโกแคนาดาและจีน
จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาพูดว่า จะขึ้นภาษีทั้ง 3 ประเทศนี้อาจเป็นแค่คำขู่ที่ยังไม่ใช่การเอาจริง
เพราะถ้าถอดคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาดีๆจะเห็นว่าเขาบอกว่าถ้าเม็กซิโกกับแคนาดายังไม่แก้ปัญหาเรื่องผู้อพยพและเฟนทานิลจะเจอมาตรการทางภาษีนะซึ่งดูเผินๆก็เหมือนจะเป็นต้องการขู่ให้รีบจัดการนะไม่งั้นอาจต้องกำแพงภาษีจริงๆ
หรือในกรณีของจีน หากสังเกตดีๆ อัตราภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะเรียกเก็บจากจีนหลังจากรับตำแหน่ง แทบจะเทียบไม่ได้เลยกับที่เขาเคยขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้าจีน 60%
และที่สำคัญ มาตรการทางภาษีทั้งหมดที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศว่าจะดำเนินการกับทั้งสามประเทศ ยังไม่ได้มีการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารออกมาอย่างเป็นทางการ เท่ากับว่า มาตรการทางภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศออกมา ยังคงไม่ชัดเจนในเวลานี้
อย่างไรก็ตามความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้ยังคงถูกมองว่าไม่ใช่สัญญาณดีเพราะอย่างน้อยนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นแล้วประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะเอาจริงเรื่องการรื้อระบบภาษี
ที่สำคัญคือ สัญญาณที่ว่านี้ไม่ได้ปรากฏออกมาแค่ 3 ประเทศที่กล่าวมาข้างต้นแต่ยังมีอีกพื้นที่หนึ่งที่อาจกลายมาเป็นเป้าหมายต่อไปคือสหภาพยุโรป
โดยเมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกมาเปรยแล้วว่าสหภาพยุโรปดำเนินการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวกับฝ่ายบริหารของเขาว่า “จริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่จีน ยังมีประเทศอื่นๆ ที่กำลังข่มเหงเราทางการค้า อย่าง สหภาพยุโรป เราขาดดุลการค้ากับสหภาพยุโรป ถึง 350,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 12 ล้านล้านบาท) พวกเขาปฏิบัติต่อเราเลวร้ายมาก ดังนั้น พวกเขาก็ควรจะต้องถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากเราเพิ่มขึ้นเหมือนกัน”
แม้ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ระบุถึงมาตรการทางภาษีที่เขาจะใช้กับสหภาพยุโรป แต่มีการคาดการณ์ว่า ประเด็นนี้น่าจะรวมอยู่กับคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามตั้งแต่วันแรกของการรับตำแหน่ง ซึ่งมีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทบทวนนโยบายการค้ากับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า หรือว่ามีพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ และมารายงานเขาภายในวันที่ 1 เม.ย. นี้
ได้ยินแบบนี้คงถึงเวลาที่ไทยก็อาจจะต้องรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่า เราเองก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาตลอด อยู่ที่วันนี้จะมีการเตรียมการรับมืออย่างไร หากโดนหางเลขถูกตั้งกำแพงภาษีจากรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ เหมือนกับที่หลายๆ ประเทศกำลังจะเจอ










