ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ ขยายวงกว้างไปแทบทุกพื้นที่บนโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งบริเวณหมู่เกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
วันที่ 17 ธ.ค. 2563 สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานโดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวใกล้ชิด 2 ราย ว่าสหรัฐฯ พยายามเข้าไปตักเตือนประเทศในหมู่เกาะแปซิกฟิก ถึงความเสี่ยงด้านกลยุทธ์หากเลือกใช้ หัวเว่ย มารีน (Huawei Marine) บริษัทลูกของหัวเว่ยในด้านอุปกรณ์เครือข่ายใต้ทะเล มารับผิดชอบในโครงการเชื่อมสายเคเบิลใต้ทะเลของภูมิภาคไมโครนีเซียตะวันออก
โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเชีย มีมูลค่า 72.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,170 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการสื่อสารในกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก ได้แก่ นาอูรู ไมโครนีเซีย และ คิริบาส
แหล่งข่าวระบุว่าสหรัฐฯ ได้ส่งคำเตือนไปยังประเทศเหล่านี้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยชี้ให้เห็นว่าหัวเว่ยและบริษัทอื่นๆ ของจีน จะต้องให้ความร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลจีน หากมีการร้องขอ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาคได้ แม้ว่าในด้านราคา หัวเว่ยมารีนจะเสนอต่ำกว่าเจ้าอื่นถึง 20% ก็ตาม
หัวเว่ยมารีน เป็นบริษัทที่เคยมี หัวเว่ย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ภายหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ใส่ชื่อ หัวเว่ยมารีน ลงในบัญชีดำ หัวเว่ยจึงได้ขายกิจการให้กับ Hengtong Optic-Electric และยังคงถือหุ้นส่วนน้อยอยู่
ในเรื่องนี้ ทางรัฐบาลไมโครนีเซียชี้แจงกับรอยเตอร์ว่า ได้มีการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องถึงประเด็นความปลอดภัยในเรื่องนี้จริง และบางส่วนเน้นย้ำว่าสายเคเบิลเหล่านั้นจะต้องไม่ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาค ด้วยการเปิดหรือไม่ยอมปิดช่องทางใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์
ภายใต้กรอบความตกลง Compact of FreeAssociation หรือ CFA สหรัฐฯ จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานและภาคบริการแก่ไมโครนีเซีย รวมถึงนโยบายด้านกลาโหมและความมั่นคง ตลอดจนสิทธิในการตั้งฐานทัพทางทหาร ซึ่งเป็นผลมาจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นบุกเข้ายึดครองไมโครนีเซีย และหลังสงครามสงบลง องค์การสหประชาชาติได้ร่างสนธิสัญญาเพื่อส่งมอบให้อยู่ใต้ความดูแลของสหรัฐฯ
ทางด้านนาอูรู ระบุเพียงว่ามีการพูดถึงปัญหาทางเทคนิกและการจัดการ โดยไม่ได้ขยายความใดๆ แต่มีการวิเคราะห์ว่าอาจมีแนวโน้มเอนเอียงไปทางคำแนะนำของสหรัฐฯ เนื่องจากนาอูรูเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เป็นพันธมิตรและรับรู้ถึงการมีอยู่ของไต้หวัน
ส่วนคิริบาสที่ปีก่อนตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันเพื่อสร้างสัมพันธ์กับจีนนั้น ไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ในประเด็นนี้










