‘คนที่หลอกคน’ อาจเป็น ‘เหยื่อที่ถูกบังคับให้ทำอาชญากรรม’ เปิดด้านมืดของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ บางคนอาจแค่พยายามเอาชีวิตรอดจากระบบที่ไม่มีทางออก
ในวันที่ขบวนการสแกมเมอร์กำลังเป็นประเด็นใหญ่เขย่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด องค์กรพัฒนาเอกชนในกรุงฮานอยของเวียดนาม ได้เปิดเผยข้อมูลชิ้นสำคัญที่สะท้อนอีกมิติของปัญหาสแกมออนไลน์ซึ่งกำลังกลืนกินอาเซียน โดยชี้ว่า ‘เวียดนาม’ กำลังกลายเป็นต้นทางของเหยื่อรุ่นใหม่ที่ถูกล่อลวงไปทำงานในศูนย์สแกมทั่วภูมิภาค
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาอาจเรียกได้ว่าเป็นด้านมืดที่สุดของอาชญากรรมรูปแบบนี้ เพราะแท้จริงแล้ว ‘คนที่หลอกคน’ ก็อาจเป็น ‘เหยื่อที่ถูกหลอกให้ทำอาชญากรรม’ เหมือนกัน เหยื่อส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและชนกลุ่มน้อยที่ถูกหลอกด้วยโฆษณางานปลอม ก่อนจะถูกกักขังและบังคับให้หลอกคนอื่นในโลกออนไลน์ ในระบบนี้ เหยื่อบางคนต้อง ‘ทำอาชญากรรมเพื่ออยู่รอด’ และสุดท้ายบางคนกลับกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์เสียเอง
รายงานชิ้นใหม่จาก ‘Blue Dragon’ เผยภาพซับซ้อนของเหยื่อในระบบสแกม
รายงานฉบับล่าสุดจาก องค์กรพัฒนาเอกชนในกรุงฮานอย ‘Blue Dragon Children’s Foundation’ ซึ่งทำงานช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ในเวียดนามมายาวนาน ได้เปิดเผยข้อมูลที่แทบไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะมาก่อน จากการวิเคราะห์คดีในศาลเวียดนาม 21 คดี ระหว่างปี 2022–2024 ที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อมากถึง 130 คน เพื่อทำความเข้าใจ ‘โครงสร้างของการค้ามนุษย์ยุคใหม่’ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของอุตสาหกรรมสแกมออนไลน์
ในรายงานชื่อ ‘Scamming to Survive’ หรือแปลตรงตัวว่า ‘สแกมเพื่ออยู่รอด’ Blue Dragon ระบุว่า เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ชายถึง 64% เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากเพียง 16% ก่อนปี 2021 โดยชี้ว่าการพุ่งขึ้นของจำนวนเหยื่อมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการขยายตัวของ ‘ขบวนการสแกมออนไลน์’ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า สิบเท่าภายในเวลาเพียงสองปี
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ ในบรรดาเหยื่อที่ถูกหลอกลวงอย่างน้อย 28% เป็นชนกลุ่มน้อยในเวียดนาม ทั้งที่ประชากรกลุ่มนี้มีเพียง 15% ของประเทศ และบางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าคนส่วนใหญ่ถึง 13 เท่า ซึ่ง Blue Dragon ชี้ว่าปัจจัยสำคัญมาจาก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการขาดโอกาสในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งทำให้พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของขบวนการค้ามนุษย์ยุคดิจิทัลได้ง่ายดาย
รายงานยังพบว่า เหยื่อเกือบทั้งหมดถูกล่อลวงด้วย ‘โฆษณารับสมัครงานออนไลน์ปลอม’ ก่อนจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์สแกมในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว และเมียนมา หลายคนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ถูกยึดเอกสาร กักขัง และบังคับให้หลอกเหยื่อรายอื่นบนโลกออนไลน์ โดยเฉลี่ยแต่ละคนถูกกักอยู่ในศูนย์สแกมราว 3 เดือน และเกือบ 1 ใน 3 ต้องจ่าย ‘ค่าไถ่’ เท่ากับรายได้กว่า 10 เดือน เพื่อแลกอิสรภาพกลับบ้าน
จาก ‘เหยื่อ’ กลายเป็น ‘ผู้ต้องหาค้ามนุษย์’
หนึ่งในข้อค้นพบที่สะเทือนใจที่สุดของรายงาน Blue Dragon คือการเปิดเผยว่า 23% ของผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานค้ามนุษย์ในเวียดนาม เคยเป็นเหยื่อมาก่อน พวกเขาคือคนที่ถูกหลอก ถูกบังคับ และภายหลังต้องกลายเป็นผู้ชักชวนคนอื่นเข้าสู่วงจรเดียวกัน เพียงเพื่อเอาชีวิตรอดในระบบอาชญากรรมที่ไม่มีทางออก
รายงานระบุว่า “ในอาชญากรรมประเภทนี้ การบังคับ ข่มขู่ หรือเป็นหนี้บังคับใช้แรงงาน ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง เหยื่อ กับ ผู้กระทำ แทบจะเลือนหายไป” หรือพูดให้ชัดกว่านั้น ยิ่งอยู่ในระบบสแกมนานเท่าไร โอกาสที่เหยื่อจะถูกบังคับให้กลายเป็นผู้กระทำก็ยิ่งสูงขึ้น
รายงานยังพบกรณีศึกษาหลายรูปแบบ บางคนถูกบังคับให้ทำหน้าที่รับสมัครคนใหม่ ขณะที่บางรายต้องคอยฝึกสอนหรือควบคุม ‘แรงงานสแกม’ คนอื่นภายใต้การเฝ้าระวังของสมาชิกแก๊ง เมื่อทางการจับกุมได้ พวกเขาจึงถูกตั้งข้อหาในฐานะผู้ค้ามนุษย์ แม้จะเป็นผู้ถูกหลอกในตอนแรกก็ตาม
Blue Dragon อธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดจากลักษณะเฉพาะของอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ที่มีทั้ง ‘การข่มขู่ด้วยหนี้สิน’ และ ‘การบังคับทำงานในเงื่อนไขปิด’ ทำให้เหยื่อไม่มีโอกาสออกจากระบบ และท้ายที่สุดต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ขบวนการสแกมกำลังลุกลามไร้พรมแดน
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในเวียดนาม แต่กำลังขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่เมียนมา ลาว และกัมพูชา ไปจนถึงประเทศอื่นที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของขบวนการสแกมระดับภูมิภาค
องค์การสหประชาชาติประเมินว่า มีเหยื่อการค้ามนุษย์เชิงไซเบอร์หลายแสนคนทั่วภูมิภาค ส่วนใหญ่ถูกล่อลวงด้วยโฆษณางานออนไลน์ ก่อนจะถูกกักขัง บังคับให้ทำงานในศูนย์สแกม และบางส่วนถูกขายต่อให้เครือข่ายอาชญากรรมในประเทศอื่น
ขณะที่สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยังชี้ว่า แนวโน้มดังกล่าวกำลัง ‘ข้ามทวีป’ เพราะศูนย์สแกมที่มีรากจากเอเชียเริ่มขยายไปยังแอฟริกา เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง รวมถึงเกาะเล็กเกาะน้อยในมหาสมุทรแปซิฟิก และถูกเชื่อมโยงกับเครือข่ายฟอกเงินและการค้ามนุษย์ในยุโรปและอเมริกาใต้
ขบวนการสแกมออนไลน์จึงไม่ใช่อาชญากรรมบนโลกเสมือนอีกต่อไป แต่มันคือระบบค้ามนุษย์ยุคใหม่ ที่เปลี่ยนเหยื่อให้กลายเป็นผู้กระทำ และกำลังแผ่ขยายรากสู่ทั่วทุกมุมโลก










