เรื่องไกลตัวที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด อีกเรื่องหนึ่งคงไม่พ้น กรณี โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสสอง รอบ 3,600 เมกะวัตต์ ที่ยังคงรอความชัดเจน ว่าการชะลอโครงการคราวนี้ จะไปจบที่ไปต่อ หรือพอเท่านี้
คลายข้อสงสัย ‘ขบวนการค่าไฟแพง’ จี้รัฐบาลแพทองธาร หยุดลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ หวั่นซ้ำเติมภาระประชาชนยาว 25 ปี ชี้มีพิรุธเอื้อประโยชน์เอกชน ผ่านการพูดคุยกับ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในรายการ TODAY LIVE เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไป และผลลัพธ์ที่ประชาชนอาจต้องแบกรับในอนาคต
[จุดเริ่มต้น โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน]
โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นโครงการที่เริ่มวางแผนมา ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ปี 2565 แบ่งออก 2 เฟสด้วยกัน โดยเฟสแรกมีการประกาศซื้อ อยู่ที่ 5,200 เมกะวัตต์ คิดเป็นเกือบ 15% ของจำนวนไฟที่ประเทศใช้ต่อปี ซึ่งอยู่ราวๆ 36,000 เมกะวัตต์ จึงนับว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก และจะมีตั้งแต่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานไฟฟ้าบวกแบตเตอรี่ พลังงานลม พลังงานก๊าซชีวภาพ
อย่างไรก็ตาม ในรัฐบาลยุคปัจจุบัน มีการตกลงจะลงนามสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งหากมีการลงนามสัญญาใหม่เพิ่มไป อาจทำให้การแก้ไขสัญญาในภายหลังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะเป็นสัญญาระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีผลต่อเนื่องไปอีก 25 ปี จึงมีการเรียกร้องให้ชะลอ หรือยกเลิกการลงนามสัญญาเพิ่มเติมในครั้งนี้ออกไปก่อน เพราะหากรัฐบาลเซ็นสัญญาเพิ่มในตอนนี้ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นไปอีก 25 ปี
[ทำไมการลงนามสัญญาเพิ่มเติม ถึงทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น?]
เรามีโรงไฟฟ้าเยอะอยู่แล้ว ในโรงไฟฟ้าจำนวน 13 แห่ง มีอยู่ 7 แห่ง ที่ไม่ได้เดินเครื่องทำงานเลย แต่คนไทยต้องจ่ายเงินไปให้กับโรงไฟฟ้า ที่รัฐเซ็นสัญญาอนุมัติให้เอกชนสร้าง แม้ว่าจะไม่ได้เดินเครื่อง แต่ก็ได้เงินจากคนไทยในบิลค่าไฟ และหากมีการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเข้ามาเพิ่มอีก ก็ยิ่งทำให้ไฟฟ้าที่เกินมาอยู่แล้ว ราคาแพงขึ้น
นอกจากนี้ การซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนในครั้งนี้ ไม่มีการเปิดประมูล ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างแพง ทำให้ราคาไฟฟ้าที่รัฐซื้อมาโดยไม่มีการเปิดประมูล จะเป็นต้นทุนของค่าไฟฟ้าของประชาชนทั้งหมด
[ผลิตเหลือใช้ แล้วทำไมรัฐถึงต้องซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนมาเพิ่ม?]
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลเคยให้เหตุผลที่จะสร้างโรงงานไฟฟ้าเพิ่ม ว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงทางพลังงาน หากมีโรงไฟฟ้าล้น หรือเกินความจำเป็นเล็กน้อย จะทำให้ไฟฟ้าไม่ตก ไม่มีปัญหาไฟฟ้าขาดแคลน ทว่า เมื่อมีโรงไฟฟ้าที่ล้นและมีเกินความจำเป็นอยู่แล้วเกินครึ่ง จึงทำให้คนไทยทุกคน ต้องแบกรับต้นทุนหารเฉลี่ยในการสร้างโรงไฟฟ้า ที่ล้นเกินความจำเป็น คนที่ได้ผลประโยชน์ ได้กำไร คือเอกชนที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าส่วนเกิน ซึ่งไม่ต้องเดินเครื่องก็ได้เงินจากคนไทยไป
ปัจจุบัน จึงหันเหมาซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนที่เป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยให้เหตุผลว่า ทางภาคเอกชนต้องการ รัฐเลยรับซื้อเพิ่ม แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นการซ่อนทุจริตเชิงนโยบาย เพราะเป็นการซื้อพลังงานไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น และเป็นการซื้อโดยไม่เปิดประมูล
[ขบวนการค่าไฟฟ้าแพง มาจากกระบวนการที่ไม่โปร่งใส?]
โรงไฟฟ้าในประเทศไทยกว่า 60% มาจากก๊าซธรรมชาติ (ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาจากฟอสซิล) แต่ภาคเอกชน ต้องการพลังงานสะอาดที่เป็นพลังงานหมุนเวียน 100% ที่ต้องนำมาใช้ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 7 วัน รัฐเลยจะซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนจากเอกชนแล้วนำมาขายต่อ
ทั้งหมดเป็นเรื่องปกติไม่ได้ผิดอะไร เพราะเป็นเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะการขายพลังงานไฟฟ้าให้กับยุโรป เพียงแต่กระบวนการซื้อพลังงาน ต้องมีความไม่โปร่งใส เพราะไม่มีการเปิดประมูล และเมื่อได้ราคาดี การคัดเลือกเอกชนจึงเลือกกันที่คะแนนเทคนิค เอกชนรายไหนยื่นโครงการมาแล้วคะแนนเทคนิคเยอะที่สุด ก็จะได้รับเลือก
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ ไม่มีการระบุว่าคำนวณคะแนนเทคนิคจากปัจจัยอะไร ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า การประกาศรับซื้อไฟฟ้าในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้มีดุลพินิจใจการจิ้มเลือกเอกชนเองได้ โรงงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ มีการตั้งราคารับซื้อที่ 2.2 บาทต่อหน่วย โรงงานพลังงานลมรับซื้อที่ 3.1 บาทต่อหน่วย โดยเป็นราคาคงที่ไปตลอด 25 ปี
โครงการไฟฟ้าหมุนเวียน ทยอยมาตั้งแต่ ปี 2567 ถึง ปี 2573 แต่โรงไฟฟ้าเหล่านี้รวบยอดมาคัดเลือกกันภายในวันเดียว โดยไม่เปิดประมูล และไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิค จึงเป็นการเปิดช่องให้ใช้ดุลพินิจในการเลือกเองที่อาจสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่าส่อแววพิรุธ
นอกจากนี้ เอกชนจะได้ราคาขายไฟฟ้าหมุนเวียนให้รัฐบาลเป็นราคาเดิม ที่จะคงที่ไปตลอด 25 ปี ทั้งที่ในวงการไฟฟ้าหมุนเวียน เป็นที่เข้าใจโดยทั่วกันว่า พลังงานสะอาด อย่าง แสงอาทิตย์และพลังงานลม มีแนวโน้มว่าจะราคาถูกลงในทุกปี ดังนั้น ภาคเอกชนก็จะได้กำไรมากขึ้นในทุกปีเช่นกัน
[ทำไมรัฐไม่เปิดประมูล?]
รัฐให้เหตุผลที่ไม่เปิดประมูลราคาไฟฟ้าหมุนเวียนว่า ถ้าเปิดประมูลอาจเกิดการทิ้งงาน เอกชนอาจแข่งขันราคากัน และสุดท้ายอาจจะไม่ได้สร้างโรงไฟฟ้าอย่างที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเหตุผลที่ไม่หนักแน่นมากพอ และคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องการให้เอกชนรายใดรายหนึ่งได้กำไรแน่นอน ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการคัดเลือกหน่วยงานเอกชน ในการขายพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนให้กับรัฐบาล คือ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
โดยกำหนดนโยบายออกมาว่าจะรับซื้อด้วยราคาที่เท่าไหร่ ซึ่งอนุมัติแล้วว่าไม่เปิดประมูล จากนั้นเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่จะคัดเลือกหน่วยงานเอกชนจากคะแนนเทคนิค ซึ่งไม่ได้มีการระบุหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิคอย่างชัดเจน จึงอาจมองได้ว่าเป็นการเปิดช่องให้ใช้ดุลพินิจได้
[ไม่เปิดประมูล ไม่ประกาศเกณฑ์ให้คะแนน เพื่อเอื้อหน่วยงานเอกชน?]
ข้อสังเกตพบว่า ในปี 2566 ก่อนเลือกตั้งเพียงหนึ่งเดือน ช่วงเดือนเมษายน มีการประกาศผู้ชนะ มีหน่วยงานเอกชนรายหนึ่งที่ได้โครงการไปมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของที่ประกาศ จากที่ประกาศออกมา 4,800 เมกะวัตต์ หน่วยงานเอกชนรายเดียวได้ไปทั้งหมด 2,000 เมกะวัตต์ นอกจากนี้หน่วยงานเอกชนรายแรกยื่นไปทั้งหมด 35 โครงการ และได้รับการคัดเลือกทั้งหมดทุกโครงการ ทำให้เกิดเป็นคำถามจากหน่วยงานเอกชนอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกว่า โครงการนี้มีหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ชนะอย่างไร ในเมื่อรัฐบาลไม่เปิดประมูลราคา และไม่ชี้แจกเกณฑ์ของคะแนนเทคนิคอย่างชัดเจนนั่นเอง
หลังจากได้หน่วยงานเอกชนที่เป็นผู้ชนะ จึงมีการเซ็นสัญญากันในรัฐบาลช่วงที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ที่มีเศรษฐา ทวีสินเป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนตุลาคม 2566 จากนั้นก็ทยอยเซ็นสัญญาจนมาถึงโครงการพลังงานหมุนเวียนล่าสุด ที่เพิ่งลงนามสัญญากันไป เมื่อวันที่ 18 เมษายน โดยมีแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
[ราคารับซื้อสูง = ต้นทุนไฟฟ้าของประเทศสูง = ค่าไฟแพง อีก 25 ปี]
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า เมื่อมีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำหนดราคาในการซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนโดยไม่มีการเปิดประมูล จึงเป็นราคาที่ไม่ได้มีการแข่งขันกันจากภาคเอกชน ทำให้เป็นราคาที่ค่อนข้างสูง
เมื่อในอนาคตมีแนวโน้มว่า พลังงานหมุนเวียน อย่าง พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม จริงๆ แล้วน่าจะลดลงในอนาคต หากรัฐบาลยังต้องซื้อไฟฟ้าจากหน่วยงานเอกชนในราคาเดิมไปอีก 25 ปีตามข้อสัญญาที่ตกลงกัน จึงเป็นสาเหตุว่า ประชาชนจะต้องแบกรับภาระต้นทุนไฟฟ้าที่สูงเกินไป ด้วยการจ่ายค่าไฟแพงไปตลอด 25 ปีจากนี้
ยกตัวอย่าง รัฐบาลอินเดีย เปิดประมูลราคาจากภาคเอกชน จึงมีการแข่งขันราคากัน และสุดท้ายก็ได้อยู่ที่ราคาเพียง 1.06 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นราคาที่ถูกกว่าไทยเกือบ 2 เท่า นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันของคนในวงการว่าต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ราวๆ 1.80 บาทต่อหน่วยเท่านั้น การที่รัฐบาลไทยรับซื้อในราคา 2.2 บาทต่อหน่วย จึงเป็นราคาที่สูงเกินไป
[ความหวังในการเปลี่ยนแปลงสัญญา ยังมีอยู่หรือไม่?]
มาถึงตรงนี้แล้ว คำถามคือ เราสามารถแก้ไขอะไรได้บ้างหรือไม่ คำตอบคือ ถึงแม้จะเป็นไปได้ยาก เพราะมีการเซ็นสัญญาตกลงซื้อขายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย
เพราะหากมีการตรวจพบว่า มีความผิดปกติ มีส่วนไหนที่ผิดกฎหมาย สัญญาฉบับนี้อาจถูกยกเลิกได้ ตามข้อสัญญาข้อที่ 39 ที่ระบุว่า “สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานขอสงวนสิทธิ์ยกเลิกโครงการได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติก่อนลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า”
โดยผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ว่าควรยกเลิกสัญญาหรือไม่ อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะประฐานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รวมถึงต้องมีมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาอีกหลายฉบับจากโครงการพลังงานลมจากหน่วยงานเอกชน อีก 13 ราย ที่กำลังทยอยเซ็นสัญญาภายในอีก 2 ปีข้างหน้าจนถึงปี 2569 และยังมีเฟสสองที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา จึงยังเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวไทยสามารถติดตามกันต่อไป และช่วยกันหยุดยั้งให้มีการทบทวนใหม่ได้
[เฟสแรกยังตีกันไม่จบ เฟสสองส่อเค้าพิรุธต่ออีก?]
นอกจากเฟสแรก ที่มีการซื้อพลังงานไฟฟ้า จำนวน 5,200 เมกะวัตต์แล้ว ยังมีเฟสสองที่รัฐบาลรอซื้อจากเอกชน อีก 3,600 เมกะวัตต์ เพื่อตอบสนองต่อความสนใจจำนวนมาก ของหน่วยงานเอกชนจากเฟสแรก แต่ส่อเค้าพิรุธที่ชวนคนไทยจับตามองกันอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลมีการกำหนดจากรัฐบาลว่า ในเฟสสองนี้ หน่วยงานเอกชนที่เคยยื่นโครงการในเฟสแรกไปแล้ว จะได้รับพิจารณาก่อน และหน่วยงานที่จะเข้าร่วมในเฟสสองได้ ต้องไม่เคยยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐมาก่อน
จึงทำให้หน่วยงานเอกชน ที่แม้ว่าจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเฟสแรก แต่ก็ไม่สามารถยื่นฟ้องรัฐบาลได้ เพราะจะเสียสิทธิ์ในการเข้าร่วมโครงการเฟสสองนั่นเอง แม้ว่า ล่าสุดรัฐบาลจะยกเลิกเงื่อนไขที่ว่านี้ไปแล้ว แต่ก็ไม่ทัน มีผลไปเรียบร้อยแล้ว วัตถุประสงค์ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว เพราะด้วยเงื่อนไขนี้ทำให้ไม่มีหน่วยงานเอกชนใดจากฝั่งพลังงานแสงอาทิตย์ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐบาลเลย และได้เซ็นสัญญากันไปครบหมดแล้ว เหลือแต่ฝั่งพลังงานลมที่ยังอยู่ในช่วงชะลอไว้อยู่
สำหรับเฟสสอง กับการซื้อพลังงานหมุนเวียนอีก 3,600 เมกะวัตต์ เป็นนโยบายเปิดเสรีพลังงานหมุนเวียน (Direct PPA) โดยหน่วยงานเอกชนที่ต้องการพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด 100% ได้โดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า รัฐบาลของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อนุมัติมาแล้ว 2,000 เมกะวัตต์ แต่ยังไม่ออกหลักเกณฑ์ในการซื้อพลังงานไฟฟ้าออกมา ทำให้หน่วยงานเอกชนในปัจจุบันยังไม่สามารถซื้อได้ ซึ่งในกรณีนี้มีความเร่งรีบมากกว่า และไม่กระทบค่าไฟฟ้าของประชาชน เพราะหน่วยงานเอกชนจะไปแข่งขันเรื่องราคากันเอง
แต่สิ่งที่รัฐบาลทำ คืออนุมัติและเร่งเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเพื่อนำมาขายต่อ ซึ่งเป็นส่วนของสัญญาที่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้น เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ในขณะที่หน่วยงานเอกชนที่ต้องการพลังงานสะอาด ก็รอซื้อไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิต แต่ยังไม่สามารถทำได้
[ชะลอการเซ็นสัญญา ความหวังอีกครั้งของคนไทย]
แม้ว่าสัญญาส่วนใหญ่จะเซ็นไปแล้ว และมีความหวังริบหรี่มากที่จะยกเลิกสัญญาในส่วนที่เซ็นไป แต่ยังมีอีกราวๆ 700 เมกะวัตต์ จากเฟสแรก และเฟสสองอีก 3,600 เมกะวัตต์ ที่ยังชะลอการเซ็นสัญญาอยู่ เพื่อตรวจสอบว่าผิดข้อกฎหมายใดหรือไม่
ถ้าตรวจสอบพบทุจริตอาจมีความหวังที่จะยกเลิกได้ อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว แม้ว่าจะมีการชะลอเพื่อทบทวน แต่มีความเป็นไปได้สูงว่า สัญญาทุกฉบับไม่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นนโยบายประเทศไปแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่ว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ แต่ควรเป็น “มันเหมาะสมหรือไม่ ควรเดินหน้าต่อหรือไม่” มากกว่า เพราะว่า เราต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า รัฐบาลกำลังโฟกัสที่ผลประโยชน์ของภาคเอกชน หรือผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยมากกว่ากัน
[ฝากประชาชนชาวไทยติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด]
เมื่อเรื่องของค่าไฟฟ้าเป็นเรื่องของคนไทยทุกครัวเรือน จึงอยากเชิญชนให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสียงดังๆ ไปถึงรัฐบาล กดดันรัฐบาลให้พิจารณา ชะลอ เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกสัญญาที่เหลือทั้งหมด อีก 13 สัญญา (จากทั้งหมด 83 สัญญา เซ็นไปแล้ว 70 สัญญา)
ด้านฝ่ายค้านเองก็กำลังพยายามผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นกระแสสังคม ให้เป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงศึกษาข้อกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า กระบวนการคัดเลือกหน่วยงานเอกชนในการเป็นผู้ชนะ ในการขายพลังงานไฟฟ้าให้รัฐบาลนั้นมีความผิดปกติจริงหรือไม่ เพื่อที่จะเป็นช่องทางให้สามารถยกเลิกสัญญาที่เซ็นไปแล้วได้










