
ประเด็นคือ – “พอล อเล็กซานเดอร์” ชายชราวัย 70 ปี ป่วยโรคโปลิโอ ต้องใช้ชีวิตกว่า 60 ปี ในเครื่องปอดเหล็ก เพื่อช่วยให้เขามีลมหายใจ
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “พอล อเล็กซานเดอร์” ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเครื่อง ‘ปอดเหล็ก’ เป็นเวลากว่า 60 ปี ภายในบ้านของเขา ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จากอาการป่วยด้วยโรคโปลิโอ ตั้งแต่พอลมีอายุได้ 5 ขวบ
โดยเขาถูกนำร่างใส่ไว้ภายในเครื่องดังกล่าวหลังจากที่เขาเป็นโรคโปลิโอ โรคติดต่อซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เขาเป็นอัมพาตและหายใจลำบากที่อาจถึงแก่ความตายได้ สำหรับเครื่องปอดเหล็กช่วยให้พอลหายใจได้ โดยมันจะทำหน้าที่ปรับความดันรอบตัวของเขา เพื่อช่วยทำให้การขยายและการหดตัวของปอดดีขึ้นซึ่งทำให้พอลหายใจได้ง่ายขึ้น

ทีมแพทย์ขณะทำการรักษาผู้ป่วยโรคโปลิโอด้วยเครื่องปอดเหล็ก ครั้นอดีต
สำหรับพอล อเล็กซานเดอร์ คือหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ยังคงใช้เครื่องปอดเหล็กช่วยหายใจ ปัจจุบันเขามีอายุ 70 ปีแล้ว และเครื่องดังกล่าวได้ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างไรแล้ว บริษัทประกันและผู้ผลิตได้หยุดการให้บริการการบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าวไปเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งชิ้นส่วนอะไหล่เป็นสิ่งที่หายากและมีราคาแพง เนื่องจากการผลิตยุติลงตั้งแต่ช่วงปี 1960
ในปัจจุบันได้มีเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ทันสมัยซึ่งสามารถช่วยให้พอลหายใจได้เหมือนกัน แต่อุปกรณ์ในปัจจุบันก็ยังมีประสิทธิภาพไม่เท่าเครื่องปอดเหล็กที่เขาใช้อยู่ ทั้งนี้ พอลรู้สึกหมดหวังที่จะหาใครสักคนมาช่วยบำรุงรักษาและซ่อมแซมเครื่องปอดเหล็กของเขา จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือผ่านทางโลกออนไลน์
ต่อมา พอลได้พบกับช่างเครื่องคนหนึ่งชื่อ เบรดี ริชาร์ดส์ และโดยเบรดี กล่าวว่า อะไหล่ที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับเครื่องปอดเหล็ก เพราะต้องมีการดัดแปลงสิ่งต่างๆ มากมายในการซ่อมเครื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ช่างเครื่องคนนี้ได้นำเอาเครื่องปอดเหล็กเข้าไปยังภายในร้านของเขา และได้ทำให้ลูกน้องต่างพากันสงสัยเจ้าเครื่องดังกล่าว โดยเขาเล่าว่า “หนึ่งในลูกน้องถามผมว่า จะให้ทำอะไรกับเตาย่างบาร์บีคิวอันนี้”
สำหรับโรคโปลิโอเคยเป็นไวรัสที่น่ากลัวที่สุดในโลก จนกระทั่งถูกกำจัดให้สิ้นซากด้วยวัคซีน ในปี 1979 มันเป็นไวรัสติดต่อที่ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และสามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและอัมพาต ปล่อยให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้
ที่มา : Daily Mail, Nick Isenberg









