ใครจะคิดว่า ‘ตีนไก่’ จะกลายเป็นอาวุธลับในการต่อรองสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ แม้จะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ความเป็นไปได้นี้กำลังปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไร ‘ตีนไก่’ ถึงกลายเป็นจุดเดือดใหม่ในสงครามการค้าระดับโลก? TODAY จะพาไปหาคำตอบในบทความนี้
อิทธิพลของตีนไก่ในสมรภูมิการค้าเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้น หลังมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวอเมริกันชื่อ ‘หลุยส์’ ตั้งคำถามบนเสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) แพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียยอดนิยมในจีน
“คนจีนจะยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อตีนไก่จากอเมริกาหรือไม่?”
“พวกเขาจะทนได้กี่วันถ้าไม่มีตีนไก่อร่อยๆ กิน?”
คำถามสั้นๆ เหล่านี้ของหลุยส์กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน จุดกระแสการถกเถียงอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวเน็ตจีนเกี่ยวกับบทบาทของ ‘ตีนไก่’ ที่ดูเหมือนจะเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรแต่กลับมีความหมายเชิงเศรษฐกิจแบบที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคชาวอเมริกันตีนไก่สำหรับพวกเขาแทบจะไม่มีค่าอะไรเลยเป็นแค่ของเหลือจากอุตสาหกรรมแปรรูปไก่ที่มักจะถูกโยนทิ้งหรือนำมาทำเป็นอาหารสัตว์ไม่ใช่อาหารที่ชาวอเมริกันทั่วไปนิยมนำมาบริโภค
แต่ที่จีน ตีนไก่ถือเป็นอาหารชั้นเลิศอันโอชะ เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวจีนมายาวนาน เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์จากการแปรรูปเนื้อหมู (เช่น เครื่องในหมู หัวหมู ขาหมู ฯลฯ) ซึ่งได้รับความนิยมในจีนไม่แพ้กัน
ทำให้ที่ผ่านมาจีนเป็นตลาดนำเข้าผลิตภัณฑ์จากการแปรรูปไก่และหมูรายใหญ่ของโลกและสหรัฐฯก็เป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกตีนไก่เข้าไปในตลาดจีน
จากขยะไร้ค่า สู่อาหารโอชะที่สร้างรายได้มหาศาล
“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้พวกคุณไม่มีแม้แต่ไก่ไข่ แล้วจะเอาอะไรไปเลี้ยงไก่มาขาย?”
“ตีนไก่ที่กินๆ กันส่วนใหญ่เป็นตีนไก่จากบราซิลนะ”
นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายพันคอมเมนต์ที่ตอบกลับหลุยส์ และก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงเพราะจากข้อมูล ในปี 2024 บราซิลเป็นประเทศที่ส่งออกตีนไก่ไปตลาดจีนมากที่สุด ส่วนสหรัฐฯ อยู่ในลำดับที่ 4
ที่น่าสนใจคือตีนไก่ที่ถูกนำเข้าไปเพื่อบริโภคในจีนส่วนใหญ่เป็นตีนไก่ที่มาจากประเทศในซีกโลกแถบตะวันตกนอกจากบราซิลและสหรัฐฯแล้วยังมีอาร์เจนตินาเบลารุสรัสเซียและอุซเบกิสถาน
สาเหตุที่เป็นแบบนี้เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมการบริโภคในมุมมองของชาวตะวันตกพวกเขามองว่าตีนไก่เป็นแค่ของเหลือจากการแปรรูปไก่และไม่ได้เหมาะกับที่จะเอามาบริโภค
ฟูเซีย ดันลอบ (Fuchsia Dunlop) นักเขียนชาวอังกฤษที่เชี่ยวชาญด้านอาหารจีน ได้บรรยายภาพในตอนที่ ‘ฝรั่ง’ เห็นคนจีนกินตีนไก่ครั้งแรกว่า
“ตีนไก่ดูเหมือนกับมือคนที่ผอมแห้ง มีข้อต่อชัดเจน ผิวเป็นเกล็ด และมีเล็บยาวแหลม หญิงแก่ชาวจีนค่อยๆ เอามันใส่ปาก แล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย”
ประโยคนี้ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าการกินตีนไก่ถูกมองว่าเป็นความแปลกในสายตาชาวตะวันตกซึ่งโดยทั่วไปแล้วพวกเขานิยมบริโภคเฉพาะเนื้อไก่ชิ้นส่วนอื่นๆคือวัตถุดิบเหลือทิ้งที่ไร้มูลค่าที่เดียวที่นำไปขายได้คือโรงงานอาหารสัตว์ซึ่งรับซื้อในราคาถูกมาก
เหยียนจวิน (Yan Jun) นักธุรกิจนำเข้า–ส่งออกเนื้อแช่แข็ง เล่าให้ Phoenix News ซึ่งเป็นสื่อในเครือสถานีโทรทัศน์ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีนฟังว่าเขาเคยไปติดต่อซื้อตีนไก่จากโรงงานแปรรูปไก่ในเยอรมนี
ตอนนั้น โรงงานแสดงอาการแปลกใจอย่างมาก และพูดกับเขาว่า “คุณเอาไปได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ ขอแค่อย่ามาเก็บเงินจากเราก็พอ” ซึ่งเหยียนจวิน อธิบายว่า ที่เจ้าของโรงงานแปรรูปไก่พูดกับเขาแบบนี้ เป็นเพราะถ้าพวกเขาไม่ขาย โรงงานจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานสาธารณสุขมาทำลายทิ้ง
แล้วตีนไก่ได้รับความนิยมในจีนได้อย่างไร? คำถามนี้เหยียนจวินอธิบายว่าเขาเคยไปศึกษารากฐานความนิยมบริโภคตีนไก่ในจีนมาและพบว่าจุดเริ่มต้นของมันเป็นเพราะความยากจนด้วยความที่ในอดีตจีนเป็นประเทศที่มีคนเยอะมากถึงกับต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้อาหารแทบจะไม่เพียงพอต่อการบริโภคชาวจีนจึงมีการเรียนรู้ในการบริโภคทุกชิ้นส่วนจากสัตว์เพื่อไม่ให้มีอะไรเหลือทิ้งซึ่งก็ไม่ใช่แค่ตีนไก่แต่ยังรวมถึงพวกเครื่องในหมูหัวหมูหรือขาหมูที่เป็นอาหารยอดนิยมในจีนเช่นเดียวกัน
สหรัฐฯ คือคนแพ้ที่แท้จริงใน ‘สมรภูมิตีนไก่’
แม้ในมุมหนึ่ง สหรัฐฯ จะดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ ‘ได้เปรียบ’ จากการส่งออกของเหลืออย่าง ‘ตีนไก่’ ไปขายในตลาดจีน และทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากของที่ในประเทศตัวเองไม่มีใครอยากแตะ แต่หากมองให้ลึกลงไป จะพบว่าสหรัฐฯ อาจกำลังเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว
จากข้อมูลของ Zhuochuang Information ระบุว่า ในปี 2024 จีนนำเข้าตีนไก่แช่แข็งราว 450,000 ตัน โดย สหรัฐส่งเข้ามา 1 ใน 10 ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด เช่นเดียวกับ เครื่องในหมูก็โดนลูกหลงเช่นกัน เมื่อปี 2024 สหรัฐมีการส่งออกชิ้นส่วนหมูมาจีนมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ โดย 80% เป็นเครื่องใน
ลองจินตนาการว่าหากไม่มีการซื้อขายเหล่านั้นหากการซื้อขายเหล่านั้นหายไปคงไม่ต้องบอกว่าสหรัฐฯจะสูญเสียรายได้มากขนาดไหนและผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงหนีไม่พ้นผู้ประกอบการในสหรัฐฯเองเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
เหยียนจวินเล่าต่อถึงสิ่งที่เธอเคยประสบมาในขณะที่ประกอบธุรกิจนำเข้าชิ้นส่วนหมูและไก่จากสหรัฐฯเธอบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้กำลังจะซ้ำรอยเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 เหยียนจวินเล่าว่าเธอได้รับผลกระทบอย่างจังจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ
“ฉันจำได้ว่าตอนนั้น ภาษีนำเข้าเครื่องในหมูอยู่ที่ 12% แต่เดือนก.ค. 2018 อยู่ดีๆ ทรัมป์ก็ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มอีก 25% เท่ากัน ทำให้เครื่องในหมูนำเข้าจากสหรัฐฯ ถูกเก็บเพิ่มเป็น 37%” เหยียนจวินเล่าย้อนประสบการณ์ของเธอ
เหยียนจวินเล่าต่อว่าเพื่อนๆผู้ประกอบการแบบเดียวกับเธอต่างก็ไม่มีใครตั้งตัวเลยว่าจะเจอเรื่องแบบนี้พวกเธอจึงรีบติดต่อไปที่โรงงานในอเมริกาเพื่อปรับสัญญาและคำนวณต้นทุนใหม่
“แต่บริษัทจีนไม่ขาดทุน เพราะพวกเราใช้เทคนิคคำนวณย้อนกลับ” เหยียนจวินเล่าต่อก่อนจะอธิบายต่อว่าการคำนวณย้อนกลับที่เธอพูดถึงก็คือเธอใช้วิธีเอาราคาขายปลีกในจีนไปลบกับค่าขนส่งค่าศุลกากรภาษีมูลค่าเพิ่มภาษีนำเข้าและคำนวณให้มีกำไรด้วยเล็กน้อยก่อนเสนอราคากลับไปให้โรงงานในอเมริกา
ผลที่ตามมาคือโรงงานอเมริกันต้องยอมรับราคาขายที่ถูกลงเพราะถ้าไม่ยอมรับพวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นนอกจากจะนำชิ้นส่วนเหลือทิ้งเหล่านั้นไปขายให้โรงงานอาหารสัตว์ซึ่งราคาก็จะยิ่งตกฮวบลงไปอีก
“ผู้นำเข้าจีนไม่เคยต้องแบกรับภาษีเองเลย ภาษีทั้งหมดโรงงานที่อเมริกาเป็นคนจ่าย ไม่ใช่เรา” เหยียนจวินระบุ
อนาคตอาจซ้ำรอย สงครามตีนไก่รอวันปะทุ
‘ตีนไก่’ จึงไม่ใช่แค่เรื่องอาหาร แต่กลายเป็นเกมหมากซ้อนหมากในสนามการค้าที่ซับซ้อนอย่างคาดไม่ถึง เมื่อสินค้าที่ถูกมองเป็นขยะไร้ค่าในสหรัฐฯ ไม่ได้ไร้ค่าในสายตาจีนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันคือสินค้าสัญลักษณ์ของอำนาจต่อรองที่จีนรู้ดีว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในเชิงนโยบายอย่างไร
ที่สำคัญคือ จีนไม่เคยพึ่งพาแหล่งเดียวในการนำเข้า ‘สงครามตีนไก่‘ รอบแรกทำให้จีนเรียนรู้ว่าการพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงเจ้าเดียวเป็นความเสี่ยง จึงหันไปกระจายความสัมพันธ์ทางการค้าไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น บราซิล อาร์เจนตินา หรือแม้แต่รัสเซียและอุซเบกิสถาน ซึ่งล้วนเต็มใจขายในราคาที่แข่งขันได้ และไม่มีข้อผูกมัดทางการเมืองแบบที่สหรัฐฯ มักแนบมาเสมอ
ในแง่นี้ สหรัฐฯ กลายเป็นผู้เล่นที่ ‘คิดว่าตัวเองได้เปรียบ‘ แต่กลับกำลังถูกตีโต้ด้วยอาวุธที่ไม่คาดคิดอย่างตีนไก่ และหากวันหนึ่งจีนประกาศตัดการนำเข้าตีนไก่จากสหรัฐฯ อีกครั้งในบริบทของความขัดแย้งทางการเมืองหรือเทคโนโลยีที่รุนแรงขึ้น ก็มีแนวโน้มสูงที่ชาวอเมริกันจะกลับไปเผาทิ้งหรือเอาไปทำปุ๋ยอย่างเคย เพราะในประเทศของพวกเขาเอง แทบไม่มีใครต้องการบริโภคมันอยู่แล้ว










