‘หนี้’ คือสิ่งที่หลายคนอยากหลีกเลี่ยง เพราะการมีดอกเบี้ยทำให้ค่าใช้จ่ายนั้นสามารถบานปลายได้หลายเท่าตัว หากไม่ระมัดระวังในการจัดการให้ดี ไม่นับว่าหนี้ที่มากเกินไปยังส่งผลต่อจิตใจอีกด้วย
แต่ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงของเราทำได้ยาก โดยเฉพาะวัยทำงาน ที่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในบางครั้ง เช่น การซื้อบ้านซื้อรถ หรือต้องการหมุนเงินในบางสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม หนี้จะเป็นปัญหาต่อชีวิตน้อยลง หากรู้วิธีบริหารจัดการมัน ดีไม่ดีอาจทำให้ชีวิตด้านการเงินดีขึ้นด้วยซ้ำ แล้วต้องทำอย่างไร ? TODAYBizview จะสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ
ก่อนอื่นต้องแยกก่อนว่า หนี้ที่เรากำลังสร้างหรือที่มีอยู่คือ หนี้ที่ดีหรือหนี้ที่แย่ โดยแบ่งง่ายๆ จากเงินกู้ก้อนนั้นนำไปก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตหรือไม่
– หนี้ที่ดี จะเป็นการกู้เงินเพื่อนำไปซื้อทรัพย์สินที่ก่อให้รายได้เข้ามาในอนาคต เช่น ซื้ออสังหาฯ ปล่อยเช่า หรือการซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบต่าง ๆ สำหรับทำธุรกิจส่วนตัวหรือใช้ในงานฟรีแลนซ์ก็ตาม
– หนี้ที่แย่ จะเป็นการกู้เงินเพื่อนำไปซื้อทรัพย์สินที่ทำให้เกิดแต่รายจ่าย เช่น ช็อปของออนไลน์เพื่อความบันเทิงผ่านบัตรเครดิตหรือบริการผ่อนก่อนจ่ายทีหลัง
เมื่อแบ่งแยกหนี้ตามนี้แล้ว จะทำให้เราเห็นชัดว่า ตัวเองมีหนี้ในแต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ดีหรือไม่ หรือเรากำลังก่อแต่หนี้ที่แย่ จนควรปรับนิสัยในการใช้จ่ายเงินใหม่
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราต้องมีหนี้ที่ดีเพียงอย่างเดียว เราก็สามารถมีหนี้ที่แย่เพื่อสร้างความสุขให้กับชีวิตได้เช่นกัน แต่ต้องควบคุมไม่ให้สูงจนเกินไป
เมื่อเราแยกประเภทหนี้กันแล้ว ก็ถึงเวลาสำรวจและหาวิธีบริหารจัดการหนี้ที่มีอยู่
โดยพยายามระบุข้อมูลแต่ละหนี้อย่างละเอียด เช่น หนี้รถ, หนี้บ้าน หรือหนี้จากการผ่อนสมาร์ตโฟน มียอดคงเหลือเท่าไร อัตราดอกเบี้ยเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เรียงลำดับการชำระหนี้ได้ถูก
อ่านถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจรู้แล้วว่า ถ้าเรามีเงินก้อนใหญ่เข้ามา เราควรนำเงินไปชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่อย่าลืมดูว่า ดอกเบี้ยสิ่งของนั้น ๆ เป็นดอกเบี้ยแบบไหนด้วย
เพราะถ้าเป็นดอกเบี้ยลดต้นลดดอก ที่คำนวณจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด เช่น ดอกเบี้ยจากกู้ซื้อบ้าน ยิ่งเราชำระหนี้เยอะหรือเร็ว จะยิ่งทำให้เราเสียดอกเบี้ยน้อยลง อันนี้ถือว่าได้ประโยชน์จากการเลือกชำระหนี้ก่อน
กลับกันถ้าเป็นดอกเบี้ยคงที่ ที่คำนวณจากเงินต้นเต็มจำนวนตลอดระยะเวลากู้ ทำให้ยอดผ่อนเท่ากันทุกงวด เช่น ดอกเบี้ยจากกู้ซื้อรถ การชำระหนี้ก่อนจะไม่ช่วยให้เราเสียดอกเบี้ยลดลงเลย แต่ก็สามารถทำได้ เพราะการหมดหนี้เร็วจะช่วยให้เราสบายใจ
ทีนี้ก็มารู้จักกับตัวช่วยในการบริหารหนี้ ซึ่งแต่ละวิธีการใช้งานและความเหมาะสมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
เริ่มต้นที่กลุ่มคนต้องการเพียงอยากลดดอกเบี้ย สามารถทำได้ 2 วิธีคือ
1. เปลี่ยนประเภทหนี้ จากหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเปลี่ยนเป็นหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่ำลง เช่น หนี้บัตรเครดิต ขอเปลี่ยนเป็นสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลาชำระ จะได้ดอกเบี้ยที่ลดลง แต่ต้องชำระหนี้ตามที่กำหนดได้
2. รีไฟแนนซ์ หรือการปิดหนี้จากเจ้าหนี้รายเดิมแล้วไปขอกู้กับเจ้าหนี้รายใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยถูกกว่า แต่ต้องไม่ลืมคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนด้วย เพราะอาจไม่คุ้มค่าก็ได้
ต่อมาส่วนใครที่เริ่มจ่ายไม่ค่อยไหว ก็มี 3 วิธีการไว้ใช้บริหารหนี้ได้นั่นคือ
1. ขอลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราว ซึ่งสถาบันการเงินมักจะยอมลดให้ หากจู่ ๆ เรามีรายได้ลดกะทันหัน
2. ขอพักชำระเงินต้น ใช้เมื่อรายได้ลดลงชั่วคราว ทั้งนี้เรายังต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ดี ข้อเสียวิธีนี้คือดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น เพราะยอดเงินต้นไม่ได้ลดลงตามกำหนดเวลาเดิม
3. ขยายเวลาชำระหนี้ เงินผ่อนต่อเดือนจะลดลง แต่ผ่อนนานขึ้น ข้อเสียไม่ต่างจากข้อที่ 2 คือยิ่งขยายเวลา เงินต้นที่จ่ายคืนต่อรอบยิ่งลดลงช้า ยิ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ควรขยายเวลานานเกินไป
สุดท้ายสำหรับคนที่จ่ายหนี้ไม่ไหวแล้ว ถ้ามีเงินก้อนใหญ่ แต่ไม่พอชำระหนี้ทั้งหมด สามารถขอส่วนลดจากเจ้าหนี้แล้วจ่ายทั้งหมดเพื่อปิดบัญชี
เช่น มีหนี้ 1 ล้านบาท แต่มีเงินก้อน 9 แสนบาท สามารถขอส่วนลดจากสถาบันการเงินก่อนได้ เพราะเขาอาจประเมินว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงในการปิดหนี้ก็ได้
อย่างไรก็ตามถ้าไม่เหลือทรัพย์สินใด ๆ ให้ไปขายต่อเพื่อชำระหนี้ เราสามารถขอพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้เช่นกัน แต่เมื่อครบกำหนดพักชำระแล้ว จะต้องจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยในช่วงที่พักไปด้วย
จะเห็นได้ว่า การบริหารจัดการหนี้นั้นทำได้หลากหลาย เพียงแค่เรารู้จักวิธีการ ก็สามารถอยู่กับหนี้ได้อย่างสบายใจแล้ว










