‘Golden Dome’ โล่ป้องกันขีปนาวุธให้สหรัฐฯ หรือ จุดเริ่มต้นสงครามอวกาศ ?

‘Golden Dome’ โล่ป้องกันขีปนาวุธให้สหรัฐฯ หรือ จุดเริ่มต้นสงครามอวกาศ ?

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงจากห้องทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาว เปิดเผยแผนการสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธที่มีชื่อว่า ‘Golden Dome’ หรือ ‘โดมทอง’ โดยย้ำว่าจะเป็นระบบที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยมีมา

แม้จะฟังดูเหมือนโครงการใหม่ แต่แนวคิดนี้ปรากฏมาตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และกลายเป็นหนึ่งในโครงการแรกๆ ที่ทรัมป์ผลักดันหลังรับตำแหน่ง เขาได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในช่วงต้นเดือน ก.พ. เพื่อเริ่มดำเนินการสร้างระบบดังกล่าว โดยเรียกชื่อระบบนี้ว่า ‘Iron Dome for America’ ซึ่งเปรียบได้กับเวอร์ชันอเมริกันของระบบ Iron Dome ที่อิสราเอลใช้ยิงสกัดขีปนาวุธสำเร็จมาแล้วหลายพันลูก

ต่อมาในวันที่ 4 มี.ค. ทรัมป์ได้นำเสนอโครงการนี้ต่อรัฐสภาอย่างเป็นทางการ เพื่อขออนุมัติงบประมาณ โดยเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น ‘Golden Dome’ พร้อมกับประกาศว่า “นี่คือระบบป้องกันขีปนาวุธที่ทันสมัยที่สุด ที่จะช่วยปกป้องมาตุภูมิของเรา และผลิตจากวัสดุที่มาจากอเมริกาทั้งหมด”

และล่าสุด ทรัมป์ประกาศว่า เขาได้เลือกรูปแบบทางสถาปัตยกรรมสำหรับระบบนี้เรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นระบบที่สามารถปกป้องดินแดนของสหรัฐฯ จากภัยคุกคามทุกทิศทาง ไม่ว่าจะทางบก ทางทะเล ทางอากาศ หรือแม้แต่จากอวกาศ

ระบบดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6 ล้านล้านบาท และทรัมป์ตั้งเป้าจะสร้างให้เสร็จภายในวาระประธานาธิบดีของเขา ซึ่งเหลือเวลาอีกประมาณ 3 ปีเศษ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อป้องกันภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

ต้นแบบจาก Iron Dome แต่เหนือชั้นกว่ามาก

แม้ทรัมป์จะเปรียบ ‘โดมทอง’ กับ Iron Dome ของอิสราเอล แต่ในความเป็นจริง ระบบของสหรัฐฯ มีความซับซ้อนกว่ามาก เนื่องจากเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์และระดับภัยคุกคามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ลูอิส ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบป้องกันขีปนาวุธจาก Middlebury Institute of International Studies เมืองมอนเทอร์เรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย อธิบายว่า ความแตกต่างระหว่างสองระบบนี้ “เหมือนเรือคายัคกับเรือรบ”

เหตุผลหลักคือ อิสราเอลมีขนาดเล็กกว่าสหรัฐฯ ถึง 400 เท่า อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศที่เป็นทะเลทราย ทำให้ระบบ Iron Dome ไม่จำเป็นต้องครอบคลุมพื้นที่มากนัก ต่างจากระบบของสหรัฐฯ ที่ต้องรับมือกับการโจมตีจากหลายทิศทางและหลายรูปแบบทั่วทั้งประเทศ

เวส รัมบาวห์ นักวิชาการจากศูนย์ศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (CSIS) ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกัน โดยระบุว่า Golden Dome ต้องออกแบบให้ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ และสามารถรับมือกับขีปนาวุธที่มาจากหลากหลายประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายโจมตีแบบกว้างขวาง ไม่จำเพาะเจาะจงจุดเหมือนในกรณีของอิสราเอล

 

เป้าหมายไม่ใช่แค่พื้นดินหรือทะเล แต่รวมถึงอวกาศ

นอกจากพื้นที่และระดับภัยคุกคามที่แตกต่างกันแล้ว ลักษณะของขีปนาวุธที่สหรัฐฯ ต้องรับมือ ยังมีความซับซ้อนและอานุภาพรุนแรงกว่ามาก Iron Dome ของอิสราเอลถูกออกแบบมาเพื่อดักสกัดจรวดพิสัยใกล้ ความเร็วต่ำ จากกลุ่มติดอาวุธในเขตแดนใกล้เคียง ซึ่งต่างจากขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) จากจีนหรือรัสเซีย ที่มีพิสัยไกลและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับไฮเปอร์โซนิก โดยต้องเดินทางผ่านชั้นอวกาศก่อนจะตกลงสู่เป้าหมาย  ความเร็วและระยะระดับนี้เป็นสิ่งที่ระบบ Iron Dome ไม่สามารถรับมือได้

เหตุนี้เองที่ทำให้ Golden Dome ต้องใช้งบมหาศาลถึง 175,000 ล้านดอลลาร์ และนี่เป็นเพียงงบเบื้องต้นเท่านั้น เพราะสำนักงานงบประมาณรัฐสภาคาดการณ์ว่า เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับระบบอวกาศ อาจใช้งบมากถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 16 ล้านล้านบาท ภายใน 20 ปีข้างหน้า

 

รัสเซีย-จีน ออกโรงค้าน จุดชนวนอวกาศกลายเป็นสนามรบ

แม้โครงการนี้จะยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ต้องผ่านการอนุมัติและประเมินอีกหลายขั้นตอนก่อนดำเนินการจริง แต่คำประกาศของทรัมป์ก็จุดกระแสปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วจากคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ อย่างรัสเซียและจีน

ทั้งสองประเทศออกแถลงการณ์ร่วมคัดค้านโครงการนี้อย่างรุนแรง โดยระบุว่า Golden Dome จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงในอวกาศ และอาจเปลี่ยนพื้นที่นอกโลกให้กลายเป็นสมรภูมิทางทหารในอนาคต

แม้ยังไม่มีใครรู้ว่า Golden Dome จะกลายเป็นโครงการที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ หรือจะเป็นอีกหนึ่งนโยบายใหญ่ที่จมหายไปพร้อมวาระของทรัมป์ แต่ที่แน่ๆ คือ โครงการนี้กำลังเป็นจุดสนใจของทั้งโลก ไม่ใช่เพียงเพราะงบประมาณมหาศาลหรือความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยี หากแต่เพราะมันอาจเป็นหมุดหมายสำคัญ ที่เปลี่ยน ‘อวกาศ’ จากพื้นที่แห่งความหวังของมนุษยชาติ ให้กลายเป็นเวทีใหม่ของสงครามยุคต่อไป

PattananWriterPattanan

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง