
หลายคนอาจเคยได้ยินแนวคิดการนำศพมนุษย์มาย่อยสลายเป็นปุ๋ย เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แทนที่การฝังหรือเผา โดยแนวคิดดังกล่าวมาจากนางแคทรินา สเปด ผู้บริหารบริษัท Recompose จากนครซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐฯ ที่เปิดบริการงานศพรูปแบบใหม่ที่จะเน้นการย่อยสลายร่างกายตามกระบวนการทางธรรมชาติ
ล่าสุดทางแคทรินา สเปดได้กล่าวว่า “จากกระแสความวิตกกังวลของผู้คนจำนวนมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (climate change) ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยสนใจที่จะจัดงานศพด้วยวิธีย่อยสลายตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีผู้สนใจร่วมลงชื่อแล้ว 15,000 คน” นอกจากนี้นางสเปดยังเผยอีกว่า จากการทดลองกับศพของอาสาสมัครที่เสียชีวิตพบว่าสภาพศพสามารถย่อยสลายได้อย่างปลอดภัยภายใน 30 วัน และยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ดีกว่าการฝังหรือเผาแบบมากกว่า 1 ตัน
สำหรับกระบวนการย่อยสลายของ Recompose คือการนำศพผู้เสียชีวิตเก็บในช่องรูปหกเหลี่ยมที่สร้างให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ก่อนจะกลบร่างของผู้เสียชีวิตด้วยเศษไม้ชิ้นเล็กๆ ในสภาพที่ปล่อยให้อากาศผ่านได้สะดวก เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยสลายศพ ซึ่งศพจะถูกย่อยสลายอย่างสมบูรณ์ภายใน 30 วัน โดยการย่อยสลายศพ 1 ร่าง จะสร้างดินปุ๋ยได้ราว 1 ลูกบาศก์เมตร และสามารถนำดินปุ๋ยที่ได้จากการหมักศพไปใช้ปลูกต้นไม้และทำสวนได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการย่อยสลายศพตกอยู่ที่ราว 5,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 167,000 บาท
โดยทางนางแคทรินา สเปด เผยว่า “ความคิดเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนฉันอายุ 13 สำหรับฉันโลกคือสถานที่ที่เป็นบ้านที่คุ้มครองและช่วยเหลือฉันมาทั้งชีวิต เมื่อถึงวันที่ฉันตายฉันอยากจะตอบแทนโลกใบนี้บ้าง” ทั้งนี้ทางรัฐวอชิงตันได้ผ่านกฎหมายอนุญาตให้ใช้วิธีนี้ในการจัดการศพได้ และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคมปี 2020 ซึ่งทางแคทรินา สเปดกล่าวเสริมว่า “ฉันหวังว่ารัฐอื่นๆ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลกจะหันมาให้ความสนใจในวิธีดังกล่าว และเรามีความคิดว่าจะขยายสาขาไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกหากผลตอบรับดีขึ้น”









